• พระประธานในอุโบสถ

    พระพุทธชินราชจำลอง ของวัดพุทธบูชานี้ มีขนาดเท่าองค์จริง มีหน้าตักกว้าง ๕ ศอก ๑ คืบ ๕ นิ้ว (๒.๘๗๕ เมตร) สูง ๗ ศอก หล่อด้วย ทองสัมฤทธิ์ (เป็นโลหะผสมระหว่างทองเหลืองและดีบุก) น้ำหนัก ๓ ตัน (๓,๐๐๐ กิโลกรัม) มีพุทธลักษณะที่งดงาม มีองค์ประกอบที่สำคัญ คือ เรือนแก้ว (ลวดลายคล้ายตัวพญานาค ดุจรัศมีล้อมรอบองค์พระ) ยักษ์ (มีลักษณะกึ่งนั่งกึ่งยืนมือขวาถือกระบองอยู่ปลายเรือนแก้วทางด้านซ้าย) มาร (ลักษณะอยู่ในท่ากำลังเหาะมือทั้งสองข้างจับบ่วงบาศบนศรีษะ อยู่ปลายเรือนแก้วตรงด้านขวา) ฝาผนังด้านหลังขององค์พระ ลงรัก เขียนลวดลายปิดทองเป็นรูปใบไม้และดอกไม้ มีปูนปั้นนูนรูปเทพบูชา (หมู่เทวดา นางอัปสร โปรยดอกไม้เพื่อเป็นพุทธบูชา) พร้อมสมบูรณ์ เหมือนองค์จริงทุกประการ ประดิษฐานในอุโบสถหลังใหม่ ราคาในการก่อสร้างองค์พระ๒๘๑,๐๐๐ บาท

  • วัดพุทธบูชา

    เลขที่ 181 หมู่ 3 ถ.พุทธบูชา ซอย 30 ริมคลองบางมด แขวงบางมด เขตทุ่งครุ กรุงเทพฯ 10140 โทร. 02-426-3667, 02-874-8108

  • คลื่นพุทธบูชา FM100.25 MHz

    สถานีวิทยุกระจายพระพุทธศาสนาแห่งชาติและสังคม

  • พระราชภาวนาพินิจ พระราชภาวนาพินิจ

    หลวงพ่อสนธิ์ อนาลโย ท่านจะดำรงตำแหน่งเป็นเจาอาวาส วัดพุทธบูชา

วันพฤหัสบดีที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2562

การรู้ตัวตอนที่2 ผ่านทางYou Tube

1_display
ลักษณะของนารีผล
Share:

ตัวอย่างแนวข้อสอบสนามหลวงวิชาวินัยมุข เล่ม ๒ น.ธ.โท

images4
                            ตัวอย่างข้อสอบสนามหลวงวิชาวินัยมุข เล่ม ๒
๑. พระวินัย แบ่งออกเป็นกี่อย่าง อะไรบ้าง
ตอบ แบ่งเป็น ๒ อย่าง คือ อาทิพรหมจริยกาสิกขาบท ๑, อภิสมาจาร ๑ ฯ 
๒. อภิสมาจารคืออะไร  แบ่งเป็นกี่ประเภท อะไรบ้าง  ผู้ล่วงละเมิด สามารถถูกปรับอาบัติอะไรได้บ้าง  ภิกษุล่วงละเมิดจะเกิดความเสียหายอย่างไร  ภิกษุควรปฏิบัติพระวินัยอย่างไร จึงจะเรียกได้ว่า พอดีพองาม
ตอบ อภิสมาจาร คือ ธรรมเนียมของภิกษุ หรือ สิกขาบทที่มานอกพระปาฏิโมกข์ มี๒ ประเภท คือ ๑. ข้อห้าม ๒. ข้ออนุญาต ผู้ล่วงละเมิด สามารถถูกปรับอาบัติถุลลัจจัย และอาบัติทุกกฎ ฯภิกษุล่วงละเมิด เพียงบางรูป บางอย่าง บางครั้งก็เสียหายน้อย แต่ถ้าล่วงละเมิดมากอย่าง หรือเป็นนิตย์ จิตภิกษุนั้นย่อมเศร้าหมองจากอาจิณกรรม และอาจทำให้เกิดความย่อหย่อนในพระธรรมวินัย แตกความสามัคคีในหมู่สงฆ์ แบ่งพรรคแบ่งพวกว่าพวกนี้เคร่ง พวกนี้ไม่เคร่ง เป็นต้น ฯภิกษุควรปฏิบัติพระวินัยโดยสายกลาง คือไม่ถือเคร่งครัดอย่างงมงาย จนเป็นเหตุให้ต้องลำบาก เพราะเหตุธรรมเนียมเล็ก ๆ น้อย ๆ อันขัดต่อกาลเทศะ และไม่สะเพร่ามักง่าย ละเลยต่อธรรมเนียมของภิกษุ จนเป็นเหตุให้ตนเป็นคนเลวทราม จึงจะเรียกได้ว่า พอดีพองาม ฯ 
๓. พระพุทธองค์ทรงอนุญาต ให้ภิกษุไว้ผมได้ยาวที่สุดเท่าไร ไว้ได้นานที่สุดเท่าไร
ตอบ ไม่เกิน ๒ ข้อนิ้วมือ (องคุลี) ฯ ไม่เกิน ๒ เดือน ฯ 
๔. ภิกษุพึงปฏิบัติเกี่ยวกับเล็บมือเล็บเท้าของตนอย่างไร จึงจะถูกต้องตามวินัยแผนกอภิสมาจาร
ตอบ ภิกษุพึงปฏิบัติเกี่ยวกับเล็บมือเล็บเท้าของตนด้งนี้ ไม่พึงไว้เล็บยาว ๑, พึงตัดเสมอเนื้อ ๑, ไม่พึงขัดเล็บด้วยมุ่งในความสวยงาม ๑, ถ้าเล็บเปื้อน พึงขัดมลทิน หรือแคะมูลเล็บ ๑ ฯ
๕. ในพระวินัยส่วนอภิสมาจาร มีพระพุทธบัญญัติ ให้รักษาความสะอาดเกี่ยวกับร่างกายไว้อย่างไร การเคี้ยวไม้ชำระฟัน มีประโยชน์อย่างไร
ตอบ มีพระพุทธบัญญัติว่าด้วยกายบริหารไว้ว่า ห้ามไว้ผมยาว ๑, ห้ามไว้หนวดเครา
๑, ห้ามไว้เล็บยาว ๑, ห้ามไว้ขนจมูกยาว ๑, เมื่อถ่ายอุจจาระแล้ว น้ำมีอยู่ ไม่ชำระไม่ได้ ๑, อนุญาตให้ใช้ไม้ชำระฟัน ๑, น้ำดื่มให้กรองก่อน ๑ ฯการเคี้ยวไม้ชำระฟัน มีประโยชน์ คือ
๑. ฟันไม่สกปรก
๒. ปากไม่เหม็น
๓. เส้นประสาทรับรสหมดจดดี
๔. เสมหะไม่หุ้มอาหาร
๕. ฉันอาหารมีรส ฯ 
๖. ภิกษุไม่ต้องนำผ้าไตรจีวรไปครบสำรับ มีพระพุทธานุญาตไว้ในกรณีใดบ้างตอบ ๒ กรณี
๑. ในกรณีเข้าบ้าน มีพระพุทธานุญาตไว้อย่างนี้ คือ
๑. คราวเจ็บไข้
๒. สังเกตเห็นว่าฝนจะตก
๓. ไปสู่ฝั่งแม่น้ำ
๔. วิหาร คือ กุฎี คุ้มได้ด้วยดาล
๕. ได้รับอานิสงส์พรรษา
๖. ได้กรานกฐิน ฯ
๒. ในกรณีต้องไปค้างแรมที่อื่น มีพระพุทธานุญาตไว้อย่างนี้ คือ
๑. ได้รับอานิสงส์พรรษา ๒. ได้กรานกฐิน ฯ 
๗. ภิกษุใช้เครื่องนุ่งห่มของคฤหัสถ์ปกปิดกายแทนจีวร จะผิดหรือไม่ อย่างไร
ตอบ อาจจะผิด หรือไม่ผิดก็ได้ แล้วแต่กรณี ถ้าไม่มีจีวร เนื่องจาก
๑. จีวรถูกลักไป ถูกโจรชิงไป ถูกไฟไหม้ นุ่งห่มผ้าของคฤหัสถ์ได้ ห้ามมิให้เปลือยกาย ถ้าไม่ปกปิด ต้องอาบัติทุกกฎ
๒. ไม่มีเหตุอันควร นุ่งห่มด้วยผ้าของคฤหัสถ์ ต้องอาบัติทุกกฎ ฯ 
๘. ขันธ์แห่งจีวร ประกอบด้วย อะไรบ้าง ทรงมีพระพุทธานุญาตไว้ อย่างไร
ตอบ ขันธ์แห่งจีวร ประกอบด้วย มณฑล อัฑฒมณฑล อัฑฒกุสิ และกุสิ ฯทรงมีพระพุทธานุญาตไว้ว่า จีวรผืนหนึ่ง ให้มีขันธ์ ไม่น้อยกว่า ๕ เกินกว่านั้น ใช้ได้แต่ให้เป็นขันธ์ที่เป็นเลขคี่ คือ ๗, ๙, ๑๑ เป็นต้น ฯ
๙. ภิกษุเปลือยกายด้วยอาการอย่างไรบ้าง ที่เป็นเหตุให้ต้องอาบัติ และไม่ต้องอาบัติ
ตอบ ถ้าเปลือยกายเป็นวัตรอย่างเดียร์ถีย์ ต้องอาบัติถุลลัจจัย ถ้าเปลือยกายทำกิจแก่กัน คือ ไหว้ รับไหว้ ทำบริกรรม ให้ของ รับของ เปลือยกายในเวลาฉัน และดื่มต้องอาบัติทุกกฎ แต่ในเรือนไฟ และในน้ำ ไม่ต้องอาบัติ ฯ 
๑๐. ในพระวินัย ทรงอนุญาตบาตรไว้กี่ชนิด อะไรบ้าง (๔๗) วิธีใช้วิธีรักษาบาตรที่ถูกต้อง คืออย่างไร
ตอบ ทรงอนุญาตไว้ ๒ ชนิด คือ บาตรดินเผา ๑ บาตรเหล็ก สุมดำสนิท ๑ ฯวิธีรักษาบาตร คือ ห้ามไม่ให้วางบาตร เก็บบาตรไว้ในที่ที่บาตรจะตกแตก และในที่จะประทุษร้ายบาตร ห้ามคว่ำบาตรไว้ที่พื้นคมแข็ง อันจะประทุษร้ายบาตร ห้ามไม่ให้แขวนบาตร ห้ามไม่ให้ใช้บาตรต่างกระโถน คือทิ้งก้างปลา กระดูก ทิชชู่ หรืออื่น ๆ อันเป็นเดนลงในบาตร ห้ามไม่ให้ล้างมือ หรือบ้วนปากลงในบาตร ไม่ควรเอามือเปื้อนจับบาตร ฉันแล้วให้ล้างบาตร ห้ามไม่ให้เก็บทั้งที่ยังเปียก ให้ผึ่งแดดก่อน ห้ามไม่ให้ผึ่งทั้งยังเปียก ให้เช็ดจนหมาดก่อนแล้วจึงผึ่ง ห้ามไม่ให้ผึ่งไว้นาน ให้ผึ่งได้ครู่หนึ่ง ฯ 
๑๑. ภิกษุพึงใช้บริขารบริโภค และเครื่องอุปโภคอย่างไร จึงจะดูน่าเลื่อมใส ของประชาชน
ตอบ บริขารบริโภค และเครื่องอุปโภคพึงใช้นั้น ภิกษุควรใช้ของปอน หรือของเรียบ ๆไม่พึงใช้ของที่เรียกว่า โอ่โถง ความประพฤติปอนของภิกษุนี้ ย่อมยังความเลื่อมใสแก่คนบางพวก ที่เรียกว่า ลูขประมาณ แปลว่า มีของปอนเป็นประมาณ คือมีของปอนเป็นเหตุนับถือ ฯ 
๑๒. บริขารเหล่านี้คือ ไตรจีวร ฟูกเตียง ที่นอน หมอนหนุนศีรษะ เตียง ผ้าปูนอนผ้าเช็ดหน้า ฟูกตั่ง เบาะ ผ้านิสีทนะ อย่างไหนจัดเป็นบริขารเครื่องบริโภคอย่างไหนจัดเป็นบริขารเครื่องเสนาสนะ
ตอบ ไตรจีวร ผ้าปูนอน ผ้าเช็ดหน้า ผ้านิสีทนะ จัดเป็นบริขารเครื่องบริโภค ฟูกเตียงที่นอน หมอนหนุนศีรษะ เตียง ฟูกตั่ง เบาะ จัดเป็นบริขารเครื่องเสนาสนะ ฯ
๑๓. บริขารต่อไปนี้ ได้แก่อะไรบ้าง
๑. บริขารเครื่องบริโภค
๒. บริขารเครื่องอุปโภค
ตอบ บริขารเครื่องบริโภค ได้แก่ ไตรจีวร ผ้าปูนอน ผ้าเช็ดหน้า เช็ดปาก ผ้านิสีทนะบาตร ฯ
บริขารเครื่องอุปโภค ได้แก่ กล่องเข็ม เครื่องกรองน้ำ มีดโกนพร้อมทั้งฝัก หินสำหรับลับ กับเครื่องสะบัด ร่ม รองเท้า ฯ 
๑๔. เหตุที่ควรถือเป็นประมาณ ๕ ประการ ให้บริขาร ขาดอธิษฐาน มีอะไรบ้าง

ตอบ เหตุที่ควรถือ มีดังนี้ คือ ให้แก่ผู้อื่น ๑, ถูกโจรชิงเอาไป หรือลักเอาไป ๑, มิตร
ถือเอาด้วยวิสาสะ ๑, ถอนเสียจากอธิษฐาน ๑, เป็นช่องทะลุ ๑ ฯ 
๑๕. ผ้าสังฆาฏิ คือผ้าอะไร มีหลักฐานความเป็นมาอย่างไร
ตอบ ผ้าสังฆาฏิ คือ ผ้าสำหรับห่มกันหนาว ห่มซ้อนนอก อนุญาตเพื่อใช้ในฤดูหนาว ฯมีเรื่องเล่าว่า ในฤดูหนาวจัด ทรงทดลองห่มจีวรผืนเดียวอยู่ในที่แจ้ง สามารถกันความหนาวได้ยามหนึ่ง ถ้าอยู่ตลอดราตรี ต้องผ้า ๓ ชั้น จึงพอกันความหนาวได้ จึงทรงอนุญาตสังฆาฏิ ๒ ชั้นเข้ากับอุตตราสงค์ชั้นเดียว จะได้เป็น ๓ ชั้น พอกันความหนาวดังกล่าวได้ ฯ 
๑๖. ในพระวินัยส่วนอภิสมาจาร มีพระพุทธบัญญัติสำหรับพระภิกษุผู้รับถือเสนาสนะของสงฆ์ ควรเอาใจใส่รักษาเสนาสนะด้วยอาการอย่างไรบ้าง
ตอบ ควรเอาใจใส่รักษาอย่างนี้ คือ
๑. อย่าทำเปรอะเปื้อน
๒. ชำระให้สะอาด
๓. ระวังไม่ให้ชำรุด
๔. รักษาเครื่องเสนาสนะ
๕. ตั้งน้ำฉัน น้ำใช้ ไว้ให้มีพร้อม
๖. ของใช้สำหรับเสนาสนะหนึ่ง อย่าเอาไปใช้ในที่อื่นให้กระจัดกระจาย ฯ
๑๗. จงให้ความหมายของคำดังต่อไปนี้
ก. นิสสัย
ข. วัตร
ค. อุปัชฌายะ
ง. อาจารย์
จ. สัทธิวิหาริกวัตร
ตอบ ก. นิสสัย คือ กิริยาที่พึ่งพิง
ข. วัตร หมายถึง ขนบ คือ แบบอย่าง อันภิกษุควรประพฤติในกาลนั้น ๆ ในที่นั้น ๆ ในกิจนั้น ๆ แก่บุคคลนั้น ๆ
ค. อุปัชฌายะ คือ ภิกษุผู้รับให้สัทธิวิหาริกพึ่งพิง
ง. อาจารย์ คือ ภิกษุผู้รับให้อันเตวาสิกพึ่งพิง
จ. สัทธิวิหาริกวัตร คือ หน้าที่อันอุปัชฌายะ จะพึงทำแก่สัทธิวิหาริก 
๑๘. คำว่า ถือนิสสัย หมายความว่าอะไร
ตอบ หมายความว่า ยอมตนอยู่ในความปกครองของพระเถระผู้มีคุณสมบัติ ควรปกครองตนได้ ยอมตนให้ท่านปกครองพึ่งพิงพำนักอาศัยท่าน ฯ 
๑๙. จงเขียนคำขอนิสสัยอาจารย์ พร้อมทั้งคำแปล
ตอบ “อาจาริโย เม ภนฺเต โหหิ, อายสฺมโต นิสฺสาย วจฺฉามิ” ซึ่งแปลว่า “ขอท่านจงเป็นอาจารย์ของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจักอยู่อาศัยท่าน” ฯ 
๒๐. ในบาลี แสดงเหตุนิสัย จะระงับจากอุปัชฌาย์ไว้เท่าไร อะไรบ้าง
ตอบ แสดงเหตุนิสัย จะระงับจากอุปัชฌาย์ไว้ ๕ ประการ คือ อุปัชฌาย์หลีกไปเสีย ๑,สึกเสีย ๑, ตายเสีย ๑, ไปเข้ารีตเดียรถีย์ ๑, สั่งบังคับ ๑ ฯ 
๒๑. ภิกษุผู้ควรจะได้นิสัย มุตตกะ ต้องมีคุณสมบัติ อย่างไรบ้าง
ตอบ ผู้ควรได้นิสัย มุตตกะ มีคุณสมบัติ ดังนี้
๑. เป็นผู้มีศรัทธา มีหิริ มีโอตตัปปะ มีวิริยะ มีสติ
๒. เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยศีล อาจาระ ความเห็นชอบ เคยได้ฟังมาก มีปัญญา
๓. รู้จักอย่างไรเป็นอาบัติ อย่างไรมิใช่อาบัติ อย่างไรเป็นอาบัติเบา อย่างไรเป็นอาบัติหนัก จำปาติโมกข์ได้แม่นยำทั้งมีพรรษาได้ ๕ หรือยิ่งกว่า ฯ
๒๒. ภิกษุเช่นไร ชื่อว่า นวกะ มัชฌิมะ เถระ
ตอบ ภิกษุมีพรรษาไม่ถึง ๕ เรียกว่า นวกะภิกษุมีพรรษาตั้งแต่ ๕ ขึ้นไป แต่ยังไม่ถึง ๑๐ เรียก มัชฌิมะ
ภิกษุมีพรรษาตั้งแต่ ๑๐ ขึ้นไป เรียกว่า เถระ ฯ 
๒๓. อาจารย์ทางพระวินัย ตามนัยอรรถกถา มีเท่าไร อะไรบ้าง อาจารย์เหล่านั้นทำหน้าที่ต่างกันอย่างไร
ตอบ มี ๔ คือ ปัพพชาจารย์ ทำหน้าที่ให้สรณคมน์ เมื่อบรรพชา ๑, อุปสัมปทาจารย์ทำหน้าที่สวดกรรมวาจา เมื่ออุปสมบท ๑, นิสสยาจารย์ ทำหน้าที่ให้นิสสัย ๑ และอุทเทสาจารย์ ทำหน้าที่สอนธรรม ๑ ฯ 
๒๔. อุปัชฌาย์ประณามสัทธิวิหาริก ผู้ประพฤติมิชอบ ด้วยเหตุอะไรบ้าง
ตอบ ด้วยเหตุดังนี้ คือ หาความรักใคร่ ในอุปัชฌาย์มิได้ ๑, หาความเลื่อมใสมิได้ ๑,หาความละอายมิได้ ๑, หาความเคารพมิได้ ๑, หาความหวังดีต่อมิได้ ๑ ฯ 
๒๕. สัทธิวิหาริก คือใคร อุปัชฌาย์ควรมีใจเอื้อเฟื้อสัทธิวิหาริกของตนอย่างไรบ้าง พระอุปัชฌาย์ และสัทธิวิหาริก พึงปฏิบัติต่อกันอย่างไร จึงจะเกิดความเจริญงอกงามในพระธรรมวินัย
ตอบ คือ ภิกษุผู้พึ่งพิง ในการอุปสมบท ภิกษุถือภิกษุรูปใดเป็นอุปัชฌาย์ ก็เป็นสัทธิวิหาริกของภิกษุรูปนั้น ฯ
อุปัชฌาย์ควรมีใจเอื้อเฟื้อสัทธิวิหาริกของตนอย่างนี้ คือ
๑. เอาใจใส่ในการศึกษาของสัทธิวิหาริก
๒. สงเคราะห์ด้วยบาตร จีวร และบริขารอื่น ๆ ถ้าของตน ไม่มีก็ขวนขวายหาให้
๓. ขวนขวายป้องกัน หรือระงับความเสื่อมเสีย อันจักเกิดมีหรือได้มีแล้ว แก่สัทธิวิหาริก
๔. เมื่อสัทธิวิหาริกอาพาธ ทำการพยาบาล ฯพระอุปัชฌาย์ และสัทธิวิหาริก พึงปฏิบัติต่อกัน เยี่ยงบิดาและบุตร จึงจะเกิดความเจริญในพระธรรมวินัย ฯ

๒๖. อาการที่อุปัชฌาย์ ประณามสัทธิวิหาริก พึงทำอย่างไร
ตอบ พึงพูดให้รู้ว่า ตนไล่เธอเสีย ในบาลีแสดงไว้ว่า เราประณามเธอ เธออย่าเข้ามาณ ที่นี้ จงขนบาตร จีวร ของเธอออกไปเสีย หรือเธอไม่ต้องอุปัฏฐากเราดังนี้ หรือแสดงอาการทางกาย ให้รู้อย่างนั้นก็ได้ ฯ 
๒๗. กิจวัตรที่สัทธิวิหาริก ควรกระทำแก่พระอุปัชฌายะ ในข้อว่า เคารพในท่านนั้น ในบาลี ท่านแสดงไว้อย่างไร
ตอบ ในบาลีแสดงการเดินตามท่าน ไม่ให้ชิดนัก ไม่ให้ห่างนัก และไม่พูดสอด ในขณะที่ท่านกำลังพูด เมื่อท่านพูดผิด ไม่ทัก หรือค้านตรง ๆ พูดอ้อม พอให้ท่านได้สติ ฯ 
๒๘. เมื่อภิกษุเพื่อนสหธรรมิกอาพาธ ทรงให้ใครเป็นผู้พยาบาล และทรงสั่งสอนปรารภภิกษุอาพาธไว้ว่าอย่างไร
ตอบ ทรงให้ภิกษุเพื่อนสหธรรมิกเอาใจใส่รักษาพยาบาลกันเอง อย่าทอดธุระเสีย ฯทรงสั่งสอนปรารภภิกษุอาพาธไว้ว่า ภิกษุทั้งหลาย มารดาและบิดาของเธอทั้งหลายไม่มี ถ้าพวกเธอไม่พยาบาลกันเองแล้วไซร้ ใครเล่าจะพยาบาลพวกเธอ ภิกษุใดปรารถนาจะอุปัฏฐากเรา ขอให้ภิกษุนั้นพยาบาลภิกษุไข้เถิด ฯ 
๒๙. ภิกษุอยู่จำพรรษาแล้ว มีเหตุให้ไปที่อื่น คิดว่าจะกลับมาทันภายในวันนั้นมิได้ผูกใจสัตตาหะไว้ แต่มีเหตุขัดข้องให้กลับถึงเมื่ออรุณขึ้นเสียแล้ว เช่นนี้พรรษาขาดหรือไม่ เพราะเหตุใด
ตอบ ถ้าไปด้วยธุระที่ทรงอนุญาตให้ไปด้วยสัตตาหกรณียะ พรรษาไม่ขาด เพราะยังอยู่ในพระพุทธานุญาตนั้นเอง ทั้งจิตคิดจะกลับก็มีอยู่ ถ้าไปด้วยมิใช่ธุระที่เป็นสัตตาหกรณียะ พรรษาขาด ฯ 
๓๐. ในการทำอุโบสถสวดปาติโมกข์นั้น มีบุพพกิจอะไรบ้าง และภิกษุอาจต้องอาบัติถุลลัจจัยด้วยเรื่องอะไรได้บ้าง
ตอบ มีบุพพกิจดังนี้ นำปาริสุทธิของภิกษุผู้อาพาธมา นำฉันทะของเธอมาด้วย บอกฤดู นับภิกษุ สั่งสอนนางภิกษุณี ฯภิกษุอาจต้องอาบัติถุลลัจจัย ในเรื่องที่ว่า รู้อยู่ว่าจะมีภิกษุอื่นมาร่วมทำอุโบสถด้วยอีกแต่นึกเสียว่า ช่างปะไร แล้วสวด ฯ
๓๑. การตั้งญัตติกรรม ในเวลาทำอุโบสถ มีคำว่า ปตฺตกลฺลํ แปลว่า ความพรั่งพร้อมนั้น หมายความว่าอย่างไร
ตอบ ความพรั่งพร้อม หมายความว่า การทำอุโบสถกรรมนั้น ต้องประกอบด้วยองค์
๔ คือ ๑. วันนั้น เป็นวันอุโบสถที่ ๑๔ หรือ ๑๕ หรือวันสามัคคี วันใดวันหนึ่ง
๒. ภิกษุประชุมครบองค์ประชุม
๓. พวกเธอไม่ต้องสภาคาบัติ
๔. บุคคลที่ควรเว้น ไม่มีในที่ประชุม ฯ 
๓๒. ในอาวาสแห่งหนึ่ง มีภิกษุจำพรรษาแรก ๔ รูป พรรษาหลัง ๒ รูป เมื่อถึงวันปวารณาแรก เพ็ญเดือน ๑๑ และวันปวารณาหลัง เพ็ญ เดือน ๑๒ เธอทั้ง ๖
รูปนั้น จะปฏิบัติอย่างไร (๔๗)
ตอบ เมื่อถึงวันปวารณาแรก พึงประชุมกันทั้ง ๖ รูป ตั้งสังฆญัตติ ภิกษุผู้จำพรรษาแรก ๔ รูป พึงปวารณา เมื่อเสร็จแล้ว ภิกษุอีก ๒ รูป พึงทำปาริสุทธิอุโบสถ ในสำนักภิกษุ ๔ รูปนั้น เมื่อถึงวันปวารณาหลัง พึงประชุมกัน ๖ รูป เช่นเดียวกัน แล้วภิกษุผู้จำพรรษาแรก ๔ รูป พึงตั้งญัตติสวดปาติโมกข์ เมื่อจบแล้ว ภิกษุ ๒ รูป พึงปวารณาในสำนักภิกษุ ๔ รูปนั้น ฯ 
๓๓. วิธีวัตร คืออะไร มีความสำคัญอย่างไร
ตอบ วิธีวัตร คือ วินัยที่ว่าด้วยแบบอย่าง เช่นแบบอย่างการห่มผ้า เป็นต้น ฯมีความสำคัญเพื่อเป็นเหตุให้ภิกษุมีความประพฤติสม่ำเสมอกัน แม้แบบอย่างใดล้าสมัย ก็ต้องมีแบบอย่างใหม่ขึ้นมาแทน มิฉะนั้นแบบอย่างทั้งหลาย ก็จะค่อยถูกลดเลิกไป จนภิกษุ ไม่มีความแตกต่างจากคฤหัสถ์ ดังนี้ ฯ 
๓๔. ภิกษุเข้าไปในเจติยสถาน ควรปฏิบัติอย่างไร
ตอบ ควรปฏิบัติอย่างนี้ คือ ไม่กั้นร่ม ไม่สวมรองเท้า ไม่ห่มคลุมเข้าไป ไม่แสดงอาการดูหมิ่นต่าง ๆ เช่น พูดเสียงดัง และนั่งเหยียดเท้า เป็นต้น ไม่ถ่ายอุจจาระปัสสาวะ และไม่ถ่มเขฬะ ในลานพระเจดีย์ ฯ 
๓๕. ภิกษุพบพระเถระ ในเวลาเข้าบ้าน หรือเดินอยู่ตามทาง ควรปฏิบัติอย่างไร
ตอบ ไม่ควรไหว้ ควรหลีกทาง ลุกรับ และให้อาสนะแก่ท่าน ฯ
๓๖. วัตร ๓ หรือ วตฺตสมฺปนฺโน  คืออะไรบ้าง ภิกษุเหยียบผ้าขาว อันเขาลาดไว้ในที่นิมนต์ ผิดวัตรข้อไหน มีโทษให้เกิดความเสียหายอย่างไร
ตอบ วัตร ๓ คือ กิจวัตร ๑, จริยาวัตร ๑ วิธีวัตร ๑ ฯผิดวัตรข้อจริยาวัตร ฯมีโทษให้เกิดความเสียหาย คือ เป็นการเสียมารยาทของพระ ไม่ระวังกิริยา ทำให้ผ้าขาวมีรอยเปื้อนสกปรกน่ารังเกียจ แม้ภิกษุพวกเดียวกันจะนั่ง ก็รังเกียจ ขยะแขยงเป็นที่ตำหนิของบัณฑิตทั้งหลาย และอาจถูกพุทธบริษัทติเตียน ฯ 
๓๗. ภิกษุผู้เป็นอาคันตุกะ ไปสู่อาวาสอื่น พึงประพฤติให้ถูกขนบธรรมเนียม
อย่างไร
ตอบ พึงประพฤติ ดังนี้
๑. ทำความเคารพในท่าน
๒. แสดงความเกรงใจเจ้าของถิ่น
๓. แสดงอาการสุภาพ
๔. แสดงอาการสนิทสนมกับเจ้าของถิ่น
๕. ถ้าจะอยู่ที่นั่น ควรประพฤติให้ถูกธรรมเนียมเจ้าของถิ่น
๖. ถือเสนาสนะแล้ว อย่าดูดาย เอาใจใส่ ชำระ ปัดกวาด ให้หมดจด จัดตั้งเครื่องเสนาสนะ ให้เป็นระเบียบ ฯ 
๓๘. ภิกษุได้ชื่อว่า “กุลปสาทโก ผู้ยังตระกูล ให้เลื่อมใส” เพราะมีปฏิปทา อย่างไร

ตอบ เพราะมีปฏิปทาอย่างนี้ คือเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยอาจาระ ไม่ทอดตนเป็นคนสนิท
ของสกุล โดยฐานเป็นคนเลว และอีกอย่างหนึ่ง ไม่รุกรานตัดรอนเขา แสดงเมตตาจิต
ต่อเขา ประพฤติพอดีพองาม ยังความเลื่อมใสนับถือของเขาให้เกิดในตน ฯ 
๓๙. ดิถีที่กำหนดให้เข้าจำพรรษา ในบาลีกล่าวไว้เท่าไร อะไรบ้าง (๔๕)
ตอบ กล่าวไว้ ๒ คือ
๑. ปุริมิกา วัสสูปนายิกา วันเข้าพรรษาต้น คือวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๘
๒. ปัจฉิมิกา วัสสูปนายิกา วันเข้าพรรษาหลัง คือวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๙ ฯ
๔๐. ภิกษุผู้เข้าไปรับบิณฑบาตในละแวกบ้าน พึงประพฤติให้ถูกธรรมเนียมเช่นไร
ตอบ พึงประพฤติอย่างนี้ ๑. นุ่งห่มให้เรียบร้อย
๒. ถือบาตรไว้ภายในจีวร
๓. สำรวมกิริยาให้เรียบร้อย
๔. กำหนดทางเข้าทางออกแห่งบ้าน
๕. รับบิณฑบาตด้วยอาการสำรวม ฯ 
๔๑. การแสดงความเคารพ ได้แก่ กิริยาเช่นไร ภิกษุควรงดทำความเคารพกันใน
เวลาใดบ้าง จงตอบมา ๕ ข้อ
ตอบ การแสดงความเคารพ ได้แก่ การกราบไหว้ การลุกรับ การทำอัญชลี การทำสามีจิกรรม ฯ
ภิกษุควรงดทำความเคารพกันในเวลาต่อไปนี้
๑. ในเวลาประพฤติวุฏฐานวิธี คือ อยู่กรรม เพื่อออกจากอาบัติสังฆาทิเสส
๒. ในเวลาถูกสงฆ์ลงอุกเขปนียกรรม
๓. ในเวลาเปลือยกาย
๔. ในเวลาเข้าบ้าน หรือเดินอยู่ตามทาง
๕. ในเวลาอยู่ในที่มืด แลไม่เห็นกัน
๖. ในเวลาที่ท่านไม่รู้
๗. ในเวลาขบฉันอาหาร
๘. ในเวลาถ่ายอุจจาระปัสสาวะ ฯ 
๔๒. อีก ๗ วัน จะถึงวันปวารณา ภิกษุทำสัตตาหกรณียะ ไปปวารณาที่วัดอื่น เธอจะได้รับอานิสงส์การจำพรรษาหรือไม่ เพราะเหตุไร
ตอบ ได้รับอานิสงส์ การจำพรรษาเหมือนกัน เพราะวันสุดท้ายแห่งวันจำพรรษา ตกอยู่ในวันที่ ๗ ในที่อื่นบ่งให้กลับใน ๗ วันนั้นเพราะยังไม่สิ้นกำหนดวันจำพรรษา ฯ 
๔๓. สภาคาบัติ คืออาบัติเช่นไร
ตอบ คือ อาบัติที่ภิกษุต้องเหมือนกัน เพราะล่วงละเมิดสิกขาบทเดียวกัน ไม่สามารถปลงอาบัติกันเอง กับผู้ที่ล่วงสิกขาบทเดียวกันได้ ฯ
๔๔. การจำพรรษาของภิกษุมีวิธีอย่างไร จงอธิบายพอเข้าใจ  การอธิษฐานเข้าพรรษา กับการปวารณาออกพรรษา ทั้ง ๒ นี้ อย่างไหน กำหนดด้วยสงฆ์เท่าไร และกำหนดเขตอย่างไร  ภิกษุผู้อยู่จำพรรษาไม่ขาด ย่อมได้อานิสงส์เท่าไร อะไรบ้าง
ตอบ การจำพรรษานั้น ในบาลีกล่าวไว้เพียงให้ทำอาลัย คือ ผูกใจว่าจะอยู่ที่นี่ เป็นเวลา ๓ เดือน ปัจจุบัน มีธรรมเนียมที่ประชุมกัน กล่าวคำอธิษฐานพร้อมกันว่าอิมสฺมึ อาวาเส อิมํ เตมาสํ วสฺสํ อุเปมิ ซึ่งแปลเป็นใจความว่า เราเข้าถึงฤดูฝนในอาวาสนี้ตลอด ๓ เดือนการอธิษฐานเข้าพรรษา ไม่เป็นสังฆกรรม จึงไม่กำหนดด้วยสงฆ์ แต่เป็นธรรมเนียมปฏิบัติอธิษฐานเข้าพรรษาพร้อม ๆ กัน จะอธิษฐานที่ไหนก็ได้ แต่ท่านห้ามไม่ให้จำพรรษาในที่ไม่สมควรเท่านั้น เช่น ในโพรงไม้ บนคาคบไม้ ในตุ่ม กระท่อมผี เป็นต้น ฯและให้กำหนดบริเวณอาวาสเป็นเขต ฯส่วนการปวารณาออกพรรษา เป็นสังฆกรรม กำหนดด้วยสงฆ์ตั้งแต่ ๕ รูปขึ้นไป ฯ
และกำหนดให้ทำภายในเขตสีมา ถ้าต่ำกว่า ๕ รูป ท่านให้ปวารณาเป็นการคณะ ถ้ารูปเดียว ให้อธิษฐานเป็นการบุคคล ฯภิกษุผู้ไม่ขาดพรรษา ย่อมได้อานิสงส์ ๕ คือ เที่ยวไปโดยไม่ต้องบอกลา ตามสิกขาบทที่ ๖ แห่งอเจลกวรรค ๑, เที่ยวจาริกไปโดยไม่ต้องนำไตรจีวรไปครบสำรับ ๑, ฉันคณโภชน์ และปรัมปรโภชน์ได้ ๑, เก็บอติเรกจีวรไว้ได้ตามปรารถนา ๑, จีวรที่เกิดขึ้นในที่นั้น จักเป็นของได้แก่พวกเธอ ๑ ฯ 
๔๕. ท่านห้ามไม่ให้จำพรรษาตลอด ๔ เดือน ตลอดฤดูฝนนั้น เพราะเหตุไร
ตอบ เพราะต้องการเดือนท้ายฤดูฝนไว้เป็นจีวรกาล คราวแสวงหาจีวร คราวทำจีวร
เพื่อผลัดผ้าไตรจีวรเดิม ฯ 
๔๖. กำลังสวดปาติโมกข์ค้างอยู่ หากมีภิกษุอื่นมาถึงเข้า จะปฏิบัติอย่างไร
ตอบ ถ้าภิกษุผู้เข้ามาใหม่มากกว่า ภิกษุ ผู้ชุมนุมต้องสวดตั้งต้นใหม่ ถ้าเท่ากัน หรือ
น้อยกว่า ส่วนที่สวดไปแล้วก็ให้เป็นอันสวดแล้ว ให้เธอผู้มาใหม่ฟังส่วนที่ยังเหลือ
ต่อไป ฯ
๔๗. ปวารณา คืออะไร มีพระพุทธานุญาตให้ภิกษุเช่นไรทำปวารณาได้ และทำในวันไหน  วันปวารณา และอาการที่กระทำ คืออะไรบ้าง การตั้งญัตติในสังฆปวารณา มีกี่อย่าง อะไรบ้าง  ภิกษุจำพรรษา ๑, ๒, ๓, ๔, ๕ รูปเมื่อถึงวันปวารณา พึงปฏิบัติอย่างไร  เหตุให้เลื่อนปวารณาได้ มีกี่อย่างอะไรบ้าง
ตอบ ปวารณา คือการบอกให้โอกาสแก่ภิกษุทั้งหลาย สามารถตักเตือนว่ากล่าวตนได้มีพระพุทธานุญาตให้ภิกษุผู้อยู่จำพรรษาถ้วนไตรมาส ทำปวารณาแทนอุโบสถ ฯทำในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ ซึ่งเป็นวันเต็ม ๓ เดือนแต่วันจำพรรษา ฯวันปวารณา มี ๓ คือ จาตุททสี ที่ ๑๔ ค่ำ ๑, ปัณณรสี ที่ ๑๕ ค่ำ ๑, สามัคคี วันที่
ภิกษุสงฆ์พร้อมเพรียงกัน ๑ ฯอาการที่กระทำ มี ๓ คือ ปวารณาต่อที่ประชุม ๑, ปวารณากันเอง ๑, อธิษฐานใจ ๑การตั้งญัตติในสังฆปวารณา มี ๕ อย่าง คือ เตวาจิกาญัตติ ๑, เทววาจิกาญัตติ ๑,เอกวาจิกาญัตติ ๑, สมานวัสสิกาญัตติ ๑, สัพพสังคาหิกาญัตติ ๑ ฯพึงปฏิบัติอย่างนี้ ภิกษุ ๑ รูป พึงอธิษฐานเป็นการบุคคล, ภิกษุ ๒, ๓, ๔ รูป พึงทำคณะปวารณา, ภิกษุ ๕ รูปขึ้นไป พึงทำสังฆปวารณา ฯมี ๒ อย่าง คือ ภิกษุจะเข้ามาสมทบปวารณาด้วย ด้วยหมายจะคัดค้านผู้นั้นผู้นี้ ทำให้เกิดอธิกรณ์ขึ้น ๑, อยู่ด้วยกันเป็นผาสุก ปวารณาแล้ว ต่างจะจากกันจาริกไปเสีย ๑ ฯ 
๔๘. ในการทำอุโบสถของภิกษุ การสวดปาติโมกข์ การบอกความบริสุทธิ์ และการอธิษฐาน ทรงให้ทำได้ในกรณีใด  คำบอกปาริสุทธิ ว่าอย่างไร
ตอบ ในกรณีที่มีภิกษุประชุมกันตั้งแต่ ๔ รูปขึ้นไป ตรัสให้สวดปาติโมกข์, ถ้ามีเพียง ๓รูป ๒ รูป เรียกว่า คณะ ตรัสให้บอกความบริสุทธิ์ของตนแก่กันและกัน เรียกว่า คณอุโบสถ และปาริสุทธิอุโบสถ, ถ้ามีรูปเดียว เรียกว่า บุคคล ให้อธิษฐานใจ ว่า อชฺช เมอุโปสโถ จตุทฺทโส (ปณฺณรโส) คือ คิดว่า วันนี้เป็นวันอุโบสถ ๑๔ ค่ำ (๑๕ ค่ำ) ของเราเรียกว่า อธิษฐานอุโบสถ ฯสำหรับผู้แก่พรรษากว่า ว่า “ปริสุทฺโธ อหํ อาวุโส ปริสุทฺโธติ มํ ธาเรถ” ว่า ๓ หนสำหรับผู้อ่อนพรรษากว่า ว่า “ปริสุทฺโธ อหํ ภนฺเต ปริสุทฺโธติ มํ ธาเรถ” ว่า ๓ หน ฯ
๔๙. ภิกษุ พึงประชุมกัน สวดพระปาติโมกข์ ในวันเช่นไรบ้าง
ตอบ ในวันพระจันทร์เพ็ญ (ดิถี ขึ้น ๑๕ ค่ำ) วันพระจันทร์ดับ (ดิถี แรม ๑๕ ค่ำ หรือ๑๔ ค่ำ) และวันสามัคคี ฯ๕๐. ความรู้ในการทำเสน่ห์ให้ชายหญิงรักกัน จัดเป็นดิรัจฉานวิชาเพราะเหตุไร ติรัจฉานวิชาไม่ดีอย่างไร พระศาสดาจึงตรัสห้ามไว้ ไม่ให้บอกไม่ให้เรียน
ตอบ จัดเป็นดิรัจฉานวิชา เพราะเป็นความรู้ที่ไม่เกี่ยวกับธรรมวินัยของภิกษุ ติรัจฉานวิชา คือ ความรู้อันเป็นเหตุขวางมรรคผลนิพพาน ไม่ดีเพราะเป็นเหตุให้บุคคลทั่วไปสงสัยว่า ลวง หรือหลง ไม่ใช่ความรู้จริงจัง ผู้บอกเป็นผู้ลวง ผู้เรียนก็เป็นผู้หัดเพื่อจะลวง หรือเป็นผู้หลงงมงาย ฉะนั้นพระศาสดาจึงตรัสห้ามไว้ ไม่ให้บอก ไม่ให้เรียน ฯ 
๕๑. วินัยกรรม คืออะไร มีกี่อย่าง อะไรบ้าง การทำวินัยกรรม มีจำกัดบุคคลหรือสถานที่ไว้อย่างไรบ้าง คำว่า อธิษฐานในวินัยกรรม คืออะไร ผ้าสังฆาฏิผืนเดิมเก่าขาดใช้ไม่ได้ จะเปลี่ยนใหม่ พึงปฏิบัติอย่างไร
ตอบ วินัยกรรม คือ การทำกิจตามพระวินัย ฯมี ๓ อย่าง คือ การแสดงอาบัติ ๑, การอธิษฐาน ๑, การวิกัป ๑ ฯ
การทำวินัยกรรม มีจำกัดบุคคล หรือสถานที่ ดังนี้
๑. แสดงอาบัติ ต้องแสดงแก่ภิกษุผู้มีสังวาสเสมอกัน
๒. อธิษฐาน ต้องทำเอง
๓. วิกัป ต้องทำแก่สหธรรมิกทั้ง ๕ คือ ภิกษุ ภิกษุณี สิกขมานา สามเณร
สามเณรี รูปใดรูปหนึ่ง ฯส่วนสถานที่ ห้ามไม่ให้ทำในที่มืด แต่ในที่นอกสีมา ก็ทำได้ ฯอธิษฐานในวินัยกรรม คือการตั้งบริขารที่ทรงอนุญาต สำหรับภิกษุเอาไว้ใช้ส่วนตัว ฯพึงทำพินทุผ้าสังฆาฏิผืนใหม่ว่า อิมํ พินฺทุกปฺปํ กโรมิ เราทำหมายด้วยจุดนี้ แล้วปัจจุทธรณ์ คือยกเลิกผ้าสังฆาฏิเดิมว่า อิมํ สงฺฆาฏึ ปจฺจุทฺธรามิ เรายกเลิกผ้าสังฆาฏิผืนนี้ ต่อจากนั้นอธิษฐานผ้าสังฆาฏิผืนใหม่ว่า อิมํ สงฺฆาฏึ อธิฏฺฐามิ เราตั้งเอาไว้ซึ่งผ้าสังฆาฏิผืนนี้ ฯ
๕๒. วินัยกรรม กับสังฆกรรม ต่างกันอย่างไร
ตอบ ต่างกันอย่างนี้ กรรมที่ภิกษุแต่ละรูปหรือหลายรูป จะพึงกระทำตามพระวินัยเช่น การแสดงอาบัติ อธิษฐาน วิกัป เป็นต้น เรียกว่า วินัยกรรม, กรรมที่ภิกษุครบองค์สงฆ์ จตุวรรค เป็นต้น พึงทำเป็นการสงฆ์ เช่น อปโลกนกรรม ญัตติกรรม เป็นต้นเรียกว่า สังฆกรรม ฯ 
๕๓. วิบัติของภิกษุ ในทางพระวินัย มีเท่าไร อะไรบ้าง
ตอบ วิบัติของภิกษุ มี ๔ อย่าง คือ ความเสียแห่งศีล ชื่อว่า สีลวิบัติ ๑, ความเสียมารยาท ชื่อว่า อาจารวิบัติ ๑, ความเห็นผิดธรรม ผิดวินัย ชื่อว่า ทิฏฐิวิบัติ ๑, ความเสียแห่งการเลี้ยงชีพ ชื่อว่า อาชีววิบัติ ๑ ดังนี้ ฯ 
๕๔. ยาวกาลิก กับยาวชีวิก ต่างกันอย่างไร
ตอบ ยาวกาลิก คือ ของที่ใช้บริโภคเป็นอาหาร บริโภคได้ชั่วคราว คือตั้งแต่เช้าถึงเที่ยงวัน ได้แก่ โภชนะ ๕ นมสด นมส้ม ของขบเคี้ยว เป็นต้นส่วนยาวชีวิก เป็นของที่ให้ประกอบเป็นยา บริโภคได้เสมอ ไม่จำกัดเวลา เมื่อมีเหตุจึงบริโภคได้ เช่น รากไม้ น้ำฝาด ใบไม้ ผลไม้ ยางไม้ เกลือ เป็นต้น ฯ 
๕๕. สัตตาหกรณียะ และ สัตตาหกาลิก มีอธิบายไว้อย่างไร
ตอบ มีอธิบายไว้ว่า คือภิกษุผู้อยู่จำพรรษา ไปแรมคืนที่อื่น ด้วยกิจจำเป็นบางอย่างแต่กลับมาภายใน ๗ วัน เรียกว่า ไปด้วยสัตตาหกรณียะ หรือ สัตตาหะ ฯสัตตาหกาลิก คือของที่รับประเคนแล้ว เก็บไว้บริโภคได้ ๗ วัน ฯ 
๕๖. ภิกษุบิณฑบาตได้สับปะรดแล้ว นำมาฉันรวมกับน้ำตาลทราย และเกลือ ซึ่งรับประเคนไว้แล้ว ๒ วัน จะต้องอาบัติอะไรหรือไม่ เพราะเหตุไร
ตอบ ต้องอาบัติปาจิตตีย์ เพราะน้ำตาลทรายเป็นสัตตาหกาลิก เกลือเป็นยาวชีวิกเมื่อนำมาฉันรวมกับสับปะรดซึ่งเป็นยาวกาลิก จึงมีคติเป็นยาวกาลิก ทำให้ต้องอาบัติปาจิตตีย์ เพราะฉันของเป็นสันนิธิ ฯ 
๕๗. อโคจร คืออะไร มีอะไรบ้าง
ตอบ อโคจร คือ บุคคล หรือ สถานที่ ที่ภิกษุไม่ควรไปสู่ ฯหญิงแพศยา ๑, หญิงหม้าย ๑, สาวเทื้อ ๑, ภิกษุณี ๑, บัณเฑาะก์ ๑, ร้านสุรา ๑ ฯ
๕๘. ภัณฑะเช่นไร ที่จัดเป็นของสงฆ์ กำหนดไว้กี่ประเภท อะไรบ้าง บิณฑบาต กุฎีที่ดิน จีวร ประคดเอว และเสนาสนะ เป็นภัณฑะประเภทไหน
ตอบ ภัณฑะที่เขาถวายเป็นสาธารณะแก่หมู่ภิกษุ ไม่เฉพาะตัว หรือ ภัณฑะอันภิกษุรับก็ดี ปกครองหวงห้ามไว้ก็ดี ด้วยความเป็นสาธารณะ แก่หมู่ภิกษุ จัดเป็นของสงฆ์ฯกำหนดไว้ ๒ ประเภท คือ ครุภัณฑ์ ๑, ลหุภัณฑ์ ๑ ฯบิณฑบาต จีวร ประคดเอว จัดเป็นลหุภัณฑ์กุฎี ที่ดิน และเสนาสนะ จัดเป็นครุภัณฑ์ ฯ 
๕๙. มหาปเทส คืออะไร น้ำตาลสด มิได้ทรงอนุญาตไว้โดยตรง ให้ภิกษุฉันได้เหมือนน้ำอ้อย แต่ฉันได้เพราะอะไร จงตอบให้มีหลัก
ตอบ มหาปเทส คือ ข้อสำหรับอ้างใหญ่ ฯแม้มิได้ทรงอนุญาตโดยตรงให้ภิกษุฉันได้ก็จริง แต่เพราะน้ำตาลสด เป็นของมีรสหวาน สำเร็จประโยชน์เช่นเดียวกันกับรสหวานแห่งอ้อย ชื่อว่าเป็นของเข้ากันกับรสหวานแห่งอ้อย ดังมีระบุไว้ในมหาปเทส ๔ ข้อว่า สิ่งใดไม่ได้ทรงอนุญาตไว้ว่าควร แต่เข้ากันกับสิ่งเป็นกัปปิยะ ขัดกันต่อสิ่งเป็นอกัปปิยะ สิ่งนั้นควร ฯ 
๖๐. อุททิสมังสะได้แก่เนื้อเช่นไร ภิกษุฉันเนื้องู เนื้อมนุษย์ ต้องอาบัติอะไร
ตอบ อุททิสมังสะ ได้แก่เนื้อที่เป็นกัปปิยะโดยกำเนิด และเขาทำให้สุกแล้ว แต่เป็นของที่เขาฆ่า เพื่อทำเป็นอาหาร ถวายพระภิกษุโดยตรง ฯภิกษุฉันเนื้องู ต้องอาบัติทุกกฎ ฉันเนื้อมนุษย์ ต้องอาบัติถุลลัจจัย ฯ 
๖๑. การทำนอกรีตนอกรอยของสมณะ เรียกว่าอะไร มีกี่อย่าง อะไรบ้าง
ตอบ เรียกว่า อุปปถกิริยา มี ๓ อย่าง คือ อนาจาร ความประพฤติไม่ดีไม่งาม ๑,
ปาปสมาจาร ความประพฤติเลวทราม ๑, อเนสนา ความเลี้ยงชีพไม่สมควร ๑ ฯ 
๖๒. ความประพฤติต่อไปนี้ จัดเข้าในอุปปถกิริยาข้อไหน
๑. ชอบเล่นคะนอง ร้องรำทำเพลง
๒. ชอบด่าว่า เสียดสี เปรียบเปรยเขา ยุยงให้เขาแตกกัน
ตอบ ๑. จัดเข้าในข้ออนาจาร ความประพฤติไม่ดี ไม่งาม ฯ
๒. จัดเข้าในข้อบาปสมาจาร ความประพฤติเลวทราม ฯ
๖๓. ภิกษุไม่สังวรในอุปปถกิริยา จะพึงได้รับโทษอย่างไรบ้าง
ตอบ ปรับเป็นอาบัติทุกกฎ และเป็นฐานที่สงฆ์ จะพึงลงโทษ ๔ สถาน อย่างใดอย่างหนึ่ง ตามโทษานุโทษ คือ
๑. ตัชชนียกรรม ตำหนิโทษ
๒. นิยสกรรม ถอดยศ คือ ถอดความเป็นใหญ่
๓. ปัพพาชนียกรรม ขับไล่จากวัด
๔. ปฏิสารณียกรรม ให้หวนระลึกถึงความผิด ฯ 
๖๔. ในบาลี แสดงลักษณะการถือวิสาสะไว้อย่างไรบ้าง
ตอบ แสดงไว้อย่างนี้
๑. เป็นผู้เคยได้เห็นกันมา
๒. เป็นผู้เคยคบกันมา
๓. ได้พูดกันไว้
๔. ยังมีชีวิตอยู่
๕. รู้ว่าของนั้นเราถือเอาแล้ว เจ้าของจักพอใจ ฯ 
๖๕. อเนสนาคืออะไร ภิกษุทำอเนสนา ต้องอาบัติอะไรบ้าง  การแสวงหาเช่นไร จัดเป็นโลกวัชชะ มีโทษทางโลก เช่นไรจัดเป็นปัณณัตติวัชชะ มีโทษทางพระบัญญัติ
ตอบ อเนสนา คือ กิริยาที่แสวงหาเลี้ยงชีพในทางไม่สมควร ฯภิกษุทำอเนสนา สามารถต้องอาบัติ ปาราชิก สังฆาทิเสส ปาจิตตีย์ และทุกกฎแล้วแต่มูลความผิด ฯการแสวงหาในทางบาป เช่น ทำโจรกรรม และหลอกลวงให้เขาเชื่อถือ และในทางที่โลกเขาดูหมิ่น จัดเป็นโลกวัชชะ ฯการแสวงหาในทางผิดธรรมเนียมภิกษุ แม้ไม่มีโทษแก่คนพวกอื่น จัดเป็นปัณณัตติวัชชะ ฯimages9
อตฺตานเมว ปฐมํ ปฏิรูเป นิเวสเย
อถญฺญมานุสาเสยฺย น กิลิสฺเสยฺย ปณฺฑิโต.
บัณฑิตพึงตั้งตนไว้ในคุณอันสมควรก่อน
สอนผู้อื่นภายหลัง จึงไม่มัวหมอง.(พุทฺธ) ขุ. ธ. ๒๕/๓๖.
อปฺปมตฺโต ปมตฺเตสุ สุตฺเตสุ พหุชาคโร
อพลสฺสํว สีฆสฺโส หิตฺวา ยาติ สุเมธโส.
คนมีปัญญาดี ไม่ประมาทในเมื่อผู้อื่นประมาท มักตื่นในเมื่อ
ผู้อื่นหลับ ย่อมละทิ้ง (คนโง่) เหมือนม้าฝีเท้าเร็ว ทิ้งม้าไม่มีกำลังไปฉะนั้น.
(พุทฺธ) ขุ. ธ. ๒๕/๑๘,๑๙.
โลโภ โทโส จ โมโห จ ปุริสํ ปาปเจตสํ
หึสนฺติ อตฺตสมฺภูตา ตจสารํว สมฺผลํ.
โลภะ โทสะ โมหะ เกิดจากตัวเอง ย่อมเบียดเบียนผู้มีใจชั่ว
ดุจขุยไผ่ฆ่าต้นไผ่ฉะนั้น
(พุทฺธ) ขุ. อิติ. ๒๕/๒๖๔. ขุ. มหา. ๒๙/๑๘.
นิทฺทํ น พหุลีกเรยฺย ชาคริยํ ภเชยฺย อาตาปี
ตนฺทึ มายํ หสฺสํ ขิฑฺฑํ เมถุนํ วิปฺปชเห สวิภูสํ.
ผู้มีความเพียรไม่พึงนอนมาก พึงเสพธรรมเครื่องตื่น พึงละความเกียจคร้าน
มายา ความร่าเริง การเล่น และเมถุน พร้อมทั้งเครื่องประดับเสีย.
(พุทฺธ) ขุ. สุ. ๒๕/๕๑๕. ขุ. มหา. ๒๙/๔๕๗,๔๖๐.
Share:

ธรรมที่ไม่ต้องทดลองทำby Dhammasarokikku


สืบเนื่องมาจากเอ็นทรี่ก่อนครับ มีการยกตัวอย่างถึงปฏิปทาบางอย่างในพระไตรปิฎกเรื่องพระโปฐิละ หรือเถรใบลานเปล่า แล้วมีคนเข้าใจว่า การหลับหูหลับตาทำตามที่ครูบาอาจารย์สั่งสอนนั่นเป็นปฏิปทาที่ถูกต้อง ส่วนใหญ่ถูกต้องครับ แต่ไม่เสมอไป ทุกอย่างในโลกนี้ล้วนมีข้อยกเว้น
ตัวอย่างที่เห็นชัด ๆ ของผู้ที่หลับหูหลับตาเชื่อฟังครูบาอาจารย์แล้วได้เลว ก็มีในพระไตรปิฎกเช่นกัน คือเรื่องขององคุลีมาลเถระ ท่านแม่มโคตรเซียนครับ ไปเรียน ป.เอก วิชาศิลปศาสตร์ในสำนักตักกศิลา หากเทียบเป็นปัจจุบันก็คงเรียนจบฮาร์เวิร์ดผสมอ็อกฟอร์ด แล้วตบท้ายด้วย MIT นั่นละครับ หัวดีมั่ก ๆ ครูบาอาจารย์ก็รักใคร่ ครั้นแล้ววิบากไม่เข้าใครออกใครครับ ขนาดพ่อตั้งชื่อให้เป็นกุศลเพียงใด (ชื่ออหิงสกะ แปลว่า ผู้ไม่เบียดเบียน) สุดท้ายอาจารย์ทิศาปาโมกข์เองนั่นแล ถูกศิษย์ร่วมสำนักที่อิจฉาอหิงสกะ เป่าหูเสียจนเข้าใจว่า อหิงสกะปองร้ายตน เลยสอนอหิงสกะว่า หากต้องการสำเร็จวิชาซุปเปอร์ไซย่าสาม ต้องไปฆ่าคนมา ๑,๐๐๐ คน เฮียแกหลงเชื่อก็ไล่ฆ่าดะ ฆ่ามากเข้าก็งง จำไม่ได้ว่า ฆ่าไปกี่คนแล้ว เลยใช้วิธีหั่นนิ้วศพมาทำเป็นมาลัยคล้องคอจักได้ทราบว่า ฆ่าไปกี่คนแล้ว เลยเป็นที่มาของฉายา "องคุลิมาล" ผู้เอานิ้วมาร้อยเป็นมาลัย ภายหลังได้พบพระพุทธองค์ และได้บรรลุธรรม ตามที่คงทราบกันอยู่แล้ว
ภาพประกอบจาก : http://www.galaxzydvd.com
ในกาลามสูตรพระองค์ก็แสดงว่า อย่าเชื่อกระไรง่าย ๆ ๑๐ ประการ ก็แล้วไฉนในเรื่องของพระโปฐิละกลับเชื่อปฏิบัติตามอย่างไม่ต้องพินิจพิจารณา แล้วได้ดี ตกลงเอาอย่างไรแน่? พระไตรปิฎกขัดกันเองหรือเปล่า?
ขออ้างถึงเม้นท์ในเอ็นทรี่ก่อนสักหน่อย... ครั้งหนึ่งพระพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรมเทศนาแล้ว ทรงต้องการแสดงปฏิปทาของพระสารีบุตร จึงทรงมีพระพุทธฎีกาตรัสถามพระสารีบุตรว่า "สารีปุตตะ ดูก่อน สารีบุตร เธอเชื่อสิ่งที่ตถาคตแสดงหรือ?"
พระสารีบุตรทูลตอบว่า "ไม่เชื่อ พระพุทธเจ้าข้า"
เหล่าภิกษุปุถุชนอึงมี่ขึ้นด้วยเข้าใจว่า พระอัครสาวกเบื้องขวาชักจะยังไงเสียแล้ว ได้รับการแต่งตั้งจนสูงส่งแล้วคิดทำตัวกระด้างกระเดื่องไม่เชื่อฟังพระบรมศาสดาเสียแล้วหรือนี่?
สมเด็จพระชินสีห์ศากยมุนีจึงทรงปรารภว่า "ภิกขเว ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย ลองฟังพระสารีบุตรดูก่อนว่า เธอคิดอย่างไร สารีปุตตะ ดูก่อน สารีบุตร เธอคิดอย่างไรจึงไม่เชื่อ"
พระธรรมเสนาบดีสารีบุตรทูลตอบว่า "ข้าพระพุทธเจ้าต้องขอลองนำไปปฏิบัติดูก่อน เมื่อการปฏิบัติมีผลแล้ว ข้าพระพุทธเจ้าถึงเชื่อ พระพุทธเจ้าข้า"
พระบรมศาสดาทรงยกพระหัตถ์ "สาธุ ๆ ดีแล้ว ๆ ขอภิกษุทั้งหลายจงดูไว้เป็นแบบอย่าง การน้อมใจเชื่อบุคคลที่ควรเชื่อ ที่ชื่อว่า อธิโมกข์ศรัทธานั้นก็มีดีอยู่ แต่เราตถาคตสรรเสริญการเชื่อด้วยได้ทดลองปฏิบัติด้วยตนเองแล้ว ยิ่งกว่า"
เห็นได้ชัดว่า พระพุทธเจ้ามิได้ทรงสรรเสริญการเชื่อโดยปราศจากการพิจารณา และทดลองทำ
ปัญหาคือปัจจุบันผู้คนมักคิด ๆ เอา นึก ๆ เอา จินตนาการเอา แล้วก็คาดเดาว่า มันคงเป็นเช่นนั้น มันคงเป็นเช่นนี้ โดยมิได้ทดลองทำด้วยตนเอง ไปฟังไปอ่าน "เขาว่ามา" แล้วก็มาถกเถียงกันหน้าดำคร่ำเครียดเอาเป็นเอาตาย เป็นกูรูกันอยู่หน้าจอคอมฯนั่นเอง
หลักเหตุผลนั้นก็ใช้ได้อยู่ แต่ไม่ทุกกรณี บางอย่างก็อยู่นอกเหตุเหนือผล บางอย่างต้องอธิบายเสียปีหนึ่งกว่าจักเข้าใจ แต่หากลงมือทำเพียง ๑๕ นาทีก็เข้าใจแล้ว จึงว่า บางอย่างเป็น "ปัจจัตตัง วิญญูหีติ" วิญญูชน หรือผู้ปฏิบัติพึงรู้เฉพาะตน พึงทราบด้วยตนเอง
ดังนี้ก็อาจสรุปได้ว่า พระพุทธองค์ทรงสรรเสริญการใคร่ครวญพินิจพิจารณา และการลงมือทดลองทำ แล้วกรณีพระโปฐิละเล่า ยังไงดี? จากการศึกษาปฏิปทาของครูบาอาจารย์หลายท่าน เวลาไปขอเป็นลูกศิษย์ หรือขอกรรมฐาน ก็ต้องทำอย่างพระโปฐิละนี่ละครับ คือช่วงที่ศึกษาหาข้อเท็จจริง (เกี่ยวกับตัวอาจารย์ที่ตั้งใจจักไปฝากตัวเป็นลูกศิษย์ และธรรมะของท่าน) ก็สมควรใช้ปฏิปทาแบบพระสารีบุตร คือรับข้อมูลมาแล้วทดลองปฏิบัติด้วยตนเองก่อน แล้วจึงเชื่อ ครั้นเมื่อพิสูจน์จนหนำใจแล้ว เชื่อมั่นคงแล้ว ศรัทธาแก่กล้าแล้ว ถึงเวลาปฏิบัติเพื่อมรรค ผล นิพพาน มิใช่มัวนั่งสงสัยนู่นสงสัยนี่อยู่ ในการปฏิบัติ ความสงสัยกลายเป็นอุปสรรคขัดขวางความดีตัวสำคัญชื่อว่านิวรณ์ ๕ มีวิจิกิจฉา ความลังเลสังสัยในผลของการปฏิบัติ เป็นต้น
ครูบาอาจารย์ท่านหนึ่งเป็นพระโพธิสัตว์บารมีเต็มบอกลูกศิษย์ว่า "ถ้าจะเรียนกับฉัน ต้องเรียนแบบคนโง่นะ" กล่าวคือ ไม่ต้องสงสัยกระไรให้มากความ สั่งอย่างไร สอนอย่างไร ทำอย่างนั้น เมื่อถึงขีดจำกัดของมัน ผลจักเกิดเอง หากเรียนแบบคนฉลาดเกิน สงสัยลังเลไปทุกเรื่อง เอ๊ะ... อาจารย์สอนให้เราทำอย่างนี้ทำไม? เพื่อกระไร? เอ๊ะ... ทำไมปฏิบัติตั้งนานแล้ว ไม่เห็นมีผลกระไร? การปฏิบัติมีผลจริงเหรอ? ฯลฯ อย่างนี้ก็คงเอาดีกระไรมิได้
อีกประการหนึ่งครับ การที่ครูบาอาจารย์จักยอมรับใครสักคนเป็นลูกศิษย์ นั่นหมายถึงภาระที่เพิ่มขึ้น เป็นการให้เปล่าโดยมิได้หวังสิ่งตอบแทน ต้องทุ่มเทสั่งสอน ดูแลกันแทบ ๒๔ ชั่วโมง ต้องยอมเหนื่อยกายเหนื่อยใจ ครูบาอาจารย์ที่ดีจึงไม่ค่อยรับลูกศิษย์ง่าย ๆ หากจักรับก็มักเป็นดั่งวลีที่ใช้สมาทานพระกรรมฐาน "ข้าพเจ้าขอมอบกายถวายชีวิตแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า..." การปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์นั้น ต้องเอาชีวิตเข้าแลกครับ จักมัวมาลังเลสงสัยไม่ได้เลย
ธรรมที่ไม่ต้องทดลองทำ
และแม้พระพุทธองค์จักทรงสรรเสริญปฏิปทาการพิสูจน์ทราบแบบพระสารีบุตร กระนั้นก็มีข้อยกเว้นอีกครับ ธรรมบางอย่างก็ไม่จำเป็นต้องทดลองทำ เพราะผลของมันรุนแรงจนยากจักแก้ไข เช่นการทดลองตกนรก อันนี้ไม่ต้องทดลองก็ได้ครับ คนเรามีปกติลงที่ต่ำอยู่แล้ว ไม่ต้องพยายามลง มันก็ทำท่าจักลงอยู่แล้ว ไปดูหนังเศร้า ๆ แล้วเศร้าตามหนัง นั่นท่านทดลองไปใช้ชีวิตในอบายเรียบร้อยแล้ว (เกิดหัวใจวายปัจจุบันทันด่วนในโรงหนัง ก็ไปอบายเลยครับ) ไม่ต้องลงไปจริงดอก เพราะนรกขุมตื้นที่สุดนี่มีอายุ ๙ ล้านปี ลึกสุดอายุกัปหนึ่ง (กัปปัจจุบันเรียก "ภัทรกัป" เพราะมีพระพุทธเจ้ามาอุบัติ ๕ พระองค์ นั่นหมายความว่า ตกนรกลึกสุดไปทีพระพุทธเจ้าอุบัติแล้ว ๕ พระองค์ บางทีก็ยังไม่ขึ้นมา) หรืออย่างอนันตริยกรรม ฆ่าพ่อ ฆ่าแม่ ฆ่าพระอรหันต์ ไม่ต้องทดลองทำก็ได้ครับ คิดพิจารณาใคร่ครวญเอาก็พอ (ซึ่งเจ้าของคอมเม้นท์ก็อาจจักสงสัยอีกว่า แล้วทำไมเรื่องอื่นต้องทดลองทำเอง คิดพิจารณาเอาก็พอ มิได้หรือ? มีอะไรเป็นเกณฑ์วัดว่าเรื่องใดควรทดลองทำเอง เรื่องใดพิจารณาเอาก็พอ หลักคร่าว ๆ คือ สิ่งที่ทดลองทำได้ คือสิ่งที่ไม่เป็นโทษจนเกินไป ไม่เป็นโทษที่ไม่สามารถแก้ไขได้ ทั้งต่อตนเองและผู้อื่น แต่ในคอมเม้นท์นี่ เขียนเป็นอีกอย่างได้ว่า 'พระไม่เคยลองอาบัติปาราชิก แล้วทราบได้อย่างไรว่า อาบัติปาราชิกไม่ดี แล้วมีสิทธิอะไรไปห้ามผู้อื่นทั้งที่ยังไม่ได้ลอง' เจ้าของคอมเม้นท์ต้องกลับไปศึกษาใหม่ให้ดีครับ กระทั่งสมเด็จพระผู้มีพระภาคยังตรัสว่า 'อักขาตาโร ตถาคตา' ซึ่งแปลเป็นใจความว่า ตถาคตเป็นเพียงผู้บอก ข้าพเจ้าเป็นเพียงลูกของพระองค์จักไปทำเกินพระองค์บังคับใครได้ ศีลนี่เป็น "ข้อควรเว้น" เป็นคำแนะนำมิใช่ "ข้อห้าม" ครับ และอาบัติปาราชิกนี่ก็เทียบเท่าการบอกให้ไปตาย ตายจากผ้าเหลือง หมดความเป็นพระอย่างไม่มีทางแก้ไข บวชอีกก็ไม่เป็นพระ เสียเปล่าไป ๑ ชาติ ชาติต่อไปต้องไปใช้กรรมในนรก โทษมากขนาดนี้คงคิดได้เองว่า สมควรทดลองทำหรือไม่ครับ เรื่องวิพากษ์วิจารณ์ อุปมาเหมือนนักวิจารณ์รถครับ หากนักวิจารณ์ได้แต่จด ๆ จ้อง ๆ ดูรถอยู่แต่ภายนอก ก็วิจารณ์ได้แค่รูปร่างสวย เครื่องยนต์น่าจักแรง เบรคน่าจักดี เข้าโค้งคงเกาะหนึบ มีแต่การคาดการณ์ทั้งสิ้น ไม่สามารถวิจารณ์ได้อย่างน่าเชื่อถือหนักแน่นมั่นคงว่า เครื่องยนต์แรง อัตราเร่งดี เบรคเป็นเยี่ยม เข้าโค้งเป็นยอด เพราะยังไม่ได้ลองขับ การวิจารณ์เรื่องอื่น ๆ ก็เช่นกัน มัวแต่จด ๆ จ้อง ๆ อยู่ภายนอก แล้วก็มาวิจารณ์ได้เป็นคุ้งเป็นแคว นี่ละครับ กูรูหน้าคอมฯที่ข้าพเจ้ากล่าวถึง)
เรื่องนี้ขอพาดพิงไปอีกเรื่อง สมัยที่ออกข่าวใหม่ ๆ มีคนอยากให้วิจารณ์นานแล้วคือเรื่องของมาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก ศาสดาโซเชี่ยลเน็ทเวิร์คเฟสบุ๊คอันแสนโด่งดังที่ทดลองฆ่าสัตว์ที่ตัวเองกิน ด้วยมือของตัวเองเท่านั้น บ้างก็เห็นด้วยในความคิดอันแสนครีเอท บวกกับคนรวยทำอะไรก็ไม่น่าเกลียด (ชาวเขาก็ฆ่าสัตว์ที่ตัวเองกินแทบทุกตัวเหมือนกัน ไม่เห็นเป็นข่่าว) บ้างก็ไม่เห็นด้วยว่าเป็นบาป รวยแทบตายสุดท้ายตกนรกแน่นอน
ภาพประกอบจาก : http://news.sanook.com
เอาประเด็นของผู้ที่เห็นด้วยก่อน สอบถามจากผู้ที่ไปใช้ชีวิตในสหรัฐอเมริกามา ๗ ปี เขาค่อนข้างเห็นด้วยครับ เพราะคนอเมริกันนี่ แทบไม่เคยได้เห็นสัตว์ที่ถูกฆ่าเลย เห็นแต่มันมาเป็นแพ็ค ๆ เนื้อเป็นชิ้น ๆ แปรรูปมาเรียบร้อยแล้วทั้งสิ้น ทำให้ขาดสำนึก หรือตระหนักถึงสัตว์ที่ถูกฆ่าเพราะเราชอบกินเนื้อสัตว์ ผู้ที่เห็นด้วยก็ออกมาให้ความเห็นว่า การที่เราเลี่ยงไปซื้อเนื้อสัตว์ที่แปรรูปแล้ว มันก็เหมือนยืมมือคนอื่นฆ่านั่นแล ไม่ต่างจากลงมือฆ่าเอง
พูดเรื่องนี้คงต้องมาทำความเข้าใจกับศีล ๕ กันก่อน
ในฐานสูตร พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า ดูก่อนภิกษุ ทั้งหลาย ศีลพึงรู้ได้ด้วยการอยู่ร่วมกัน และศีลนั้นพึงรู้ได้ด้วยกาลนาน ไม่ใช่เล็กน้อย มนสิการ (คิดใคร่ครวญอย่างแยบคาย) อยู่จึงจะรู้ ไม่มนสิการอยู่หารู้ไม่ คนมีปัญญาจึงจะรู้ คนมีปัญญาทรามหารู้ไม่
ศีล แปลว่า "ปกติ" ครับ แสดงว่า ผู้มีศีล ๕ คือผู้ที่มีปกติไม่ฆ่าสัตว์ ไม่เบียดเบียนสัตว์
ปาณาติปาตาเวรมณี มิใช่ไม่ฆ่าสัตว์ ไปอยู่ถ้ำ กินแต่พืช หรืออยู่เฉย ๆ ก็รักษาศีลข้อนี้ได้ แต่ต้องมี "เจตนา" เว้นจากการฆ่าสัตว์ ต่างหาก ทำนองแม้มีโอกาสฆ่า หรือฆ่าได้ ก็ไม่ฆ่า (สัตว์เดรัจฉานส่วนใหญ่เลยรักษาศีลไม่ได้ เพราะไม่มีเจตนา "เว้น")
มามนสิการอ่านข้อความในพระสูตรกันอีกครั้ง
"ศีลพึงทราบด้วยการอยู่ร่วมกัน"
ทำไมหนอถึงทราบด้วยการอยู่ร่วมกัน????? ติ๊กต่อก ๆ ๆ ๆ คิดสิคิดสิคิดสิคิด...
ปิ๊งป่อง!!! จากการพินิจคิดใคร่ครวญอยู่เป็นเวลานาน พบว่า วัตถุประสงค์ของศีลคือการไม่เบียดเบียนกันในสังคมนั่นเอง ฉะนั้นจึงมีคำพูดที่ว่า "หากเราทุกคนในสังคมรักษาศีล ๕ แล้วไซร้ สังคมจักสงบสุข"
ศีลจึงเป็นเรื่องของการนึกถึงผู้อื่นก่อนตัวเอง อีกนัยหนึ่ง ก็คือพรหมวิหาร ๔ นั่นเอง พรหมวิหาร ๔ คือกระไร? คือ เมตตา-ความรัก รักผู้อื่นเหมือนรักตัวเอง อยากให้ผู้อื่นมีความสุขเหมือนตัวเอง กรุณา-ความสงสาร เห็นผู้อื่นกำลังประสบทุกข์ อยากให้ผู้อื่นพ้นจากทุกข์ที่ยังประสบอยู่ มุทิตา-ความพลอยยินดี เห็นผู้อื่นได้ดี ก็ยินดีด้วย อุเบกขา-เมื่อผู้อื่นประสบทุกข์แล้วเราไม่อาจช่วยได้ ก็ต้องปล่อยวาง ระลึกไว้ว่า กมฺมุนา วตฺตตี โลโก สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม
ครูบาอาจารย์กล่าวไว้เลยครับ เมื่อมีพรหมวิหารอยู่ประจำจิต ศีลก็บริสุทธิ์เอง มาดแม้นไม่มีพรหมวิหารประจำใจ หาไฉนจักมีศีลได้
ผู้ที่เคยรักษาศีล ๕ เท่านั้นครับ ถึงจักมาเกิดเป็นคนได้ การมาเกิดเป็นมนุษย์ถึงยากนักหนา
ความเข้าใจในศีลนี้จักพาให้พลอยหมดข้อถกเถียงกันไปด้วย อย่างทั่นมาร์คนี่ก็เห็นได้ชัดเลยว่า ล่วงศีล เพราะแม้มีโอกาสไม่ฆ่า เขาก็เต็มใจจะฆ่าเอง
ตกนรกไหม?
pharmalai_01_1ยังไม่แน่ครับ
มาดูเหตผลซัพพอร์ตการฆ่าของเขา เขาว่า เขาฆ่าเพื่อให้ไม่ละเลยต่อสำนึกที่ว่า เราเอาเนื้อของเขามากิน ทุกครั้งที่เรากินเนื้อสัตว์ คือเรากำลังเบียดเบียนชีวิตสัตว์อยู่ และเขาก็ทำอย่างนั้นได้จริง ๆ มีรายงานว่า การบริโภคเนื้อสัตว์ของเขาลดลงอย่างมาก
ผู้ที่ไม่เห็นด้วย ก็ออกความเห็นว่า เรื่องการทำบาปเช่นนี้ ไม่เห็นต้องลงมือทำเองเลย วีดีโอบนยูตูบหรือสารคดีก็สามารถหาซื้อมาดูได้ไม่ยากเย็น แค่เห็นภาพเนื้อเลือดแหวะ ๆ ก็กินไม่ลงแล้ว ทำไมต้องลงมือทำเรื่องโหดร้ายอย่างการฆ่าสัตว์ด้วย รนหานรกชัด ๆ ส่วนผู้ที่เห็นด้วย ก็ออกความเห็นว่า พวกที่ไม่ลงมือฆ่า แต่ยังกินเนื้อสัตว์อยู่ อย่ามาซึนเดเระ ยืมมือคนอื่นฆ่า มันก็บาปไม่ต่างกัน (แล้วยังมีความเห็นที่ว่า ฆ่าเพื่อกินบาปน้อยกว่าฆ่าเพื่อความสนุกสนาน อันนี้ก็มีส่วนจริงอยู่ แต่ไม่ควรนำมาเพิ่มประเด็นในการถกเถียงกัน จักสับสนไปกันใหญ่ หากฆ่าเพื่อกิน "ด้วยความจำเป็น" คือมิได้เต็มใจฆ่า ไม่สนุกไปกับการทำบาป อย่างนั้นบาปน้อยกว่าการฆ่าเพื่อความสนุกสนาน แต่ชื่อว่า "ฆ่า" แล้วไซร้ อย่างไรก็บาป)
ที่ไม่ต่างกันคือสัตว์หน่ะตายแน่ ๆ แต่บาปจักไปตกกับใครมากกว่าระหว่างคนฆ่ากับคนกิน
สาวลึกลงไปในศีลข้อปาณาติบาตครับ ท่านว่า จักล่วงศีลข้อนี้ได้ต้องมีองค์ประกอบครบทั้ง ๕ ได้แก่ (๑)สัตว์มีชีวิต (๒)รู้ว่าสัตว์มีชีวิต (๓)มีจิตคิดจะฆ่า (๔)พยายามฆ่า (๕)สัตว์ตายด้วยความพยายามนั้น ผู้ที่กินเนื้อสัตว์แต่ไม่ได้ลงมือฆ่าเอง จึงทำบาปข้อนี้ได้ไม่ครบองค์ คือไม่มีจิตคิดฆ่า ไม่ได้พยายามฆ่า และสัตว์ไม่ได้ตายด้วยความพยายามใดใด ส่วนทั่นมาร์คซัดไปเต็ม ๆ ทั้ง ๕ ข้อ
ลองวางทฤษฎีแล้วมาลองคิดตามตรรกะดูบ้าง ว่าใครบาป ใครไม่บาป บาปแค่ไหน ดูที่ความเศร้าหมองของจิตครับ ระหว่างคนนั่งกินแกงมัสมั่นเนื้อที่ร้านข้าวแกง กับคนที่ลงมือฆ่าวัว เพื่อเอาเนื้อมาทำแกงมัสมั่นกิน ใครจิตเศร้าหมองมากกว่ากัน
คงเคยได้ยินมาบ่อย ๆ เวลาวัวถูกนำขึ้นรถไปโรงฆ่าสัตว์ มันจักมีน้ำตาไหล เหมือนรู้ชะตากรรมตัวเอง ก็แล้วเราเป็นคนลงมือฆ่า แม้จักฆ่าด้วยเจตนาว่า จักได้ไม่ต้องกินเนื้อสัตว์ต่อไป แต่วินาทีที่ลงมือฆ่า ก็ต้องมีเจตนาทำให้ชีวิตเขาดับสูญ จริงไม่จริง? มันโหดร้ายไหมนั่น?
ลองเทียบเอากับพระวินัยครับ ทรงอนุญาตให้ภิกษุฉันปลาและเนื้อที่บริสุทธิ์ โดยเงื่อนไข ๓ ประการ คือ (๑) ไม่ได้เห็น (๒)ไม่ได้ฟัง (๓)ไม่ได้นึกรังเกียจว่าเขาฆ่าเพื่อให้ตนบริโภค เรื่องนี้ปรากฏในคัมภีร์พระวินัยปิฎก มหาวรรค ภาค ๒ เล่ม ๕ พิเคราะห์แล้วก็เห็นได้ชัดครับว่า พระพุทธองค์บัญญัติศีลไว้เพื่อความเป็นผู้เลี้ยงง่ายของภิกษุ (อีกนัยหนึ่งคือไม่เบียดเบียนโยมจนเกินไป) คฤหัสถ์จักนำสิ่งใดที่ถูกทำนองคลองธรรมมาถวายก็ให้ฉันอย่างนั้น แล้วเว้นบางอย่างไว้เพื่อความปลอดกังวลของภิกษุ
ครูบาอาจารย์สมัยปัจจุบันก็ให้ทัศนคติเรื่องนี้ไว้ครับว่า ใครจักเห็นว่า นี่เป็นเนื้อสัตว์ แต่ท่านเห็นเป็น "อาหาร" ตามบทพิจารณาอาหารก่อนบริโภคว่า ฉันเพียงเพื่อบรรเทาเวทนา และยังอัตภาพให้เป็นไปเพื่อประพฤติพรหมจรรย์เจริญสมณธรรม และหากจักเอาแนวคิดแบบสุดโต่งที่ชอบพูดกัน ท่านก็ว่า แล้วแมลงที่ต้องตายเพราะยาฆ่าแมลงด้วยการปลูกผักมาให้เรากินหล่ะ? อย่างนั้นไม่นับเป็นการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตหรือ? อย่างนั้นยืมมือคนอื่นฆ่าหรือเปล่า? (ซึ่งก็อาจต่อประเด็นไปอีกไม่รู้จบว่า แมลงเป็นสัตว์หรือ? การฆ่าสัตว์เล็กสัตว์ใหญ่ต่างกันหรือไม่? ซึ่งเริ่มออกทะเล)
pharmalai_07_1แล้วตกลงทั่นมาร์คนี่ตกนรกแน่ใช่ไหม?
ยังไม่แน่ครับ มันขึ้นกับจิตสุดท้ายตอนจิตออกจากร่างว่า มันเศร้าหมองหรือไม่ ตามพระบาลีว่า จิตเต อสังกิลิฏเฐ สุคติ ปาฏิกังขาและจิตเต สังกิลิฏเฐ ทุคติ ปาฏิกังขา ซึ่งแปลเป็นใจความว่า หากจิตไม่เศร้าหมอง สุคติเป็นอันหวังได้ และหากจิตเศร้าหมอง ทุคติเป็นอันหวังได้
ซึ่งโดยทั่วไป คนที่ฆ่าสัตว์ เวลาใกล้ตายจักมีนิมิตของสัตว์ที่เคยฆ่ามาให้เห็น หากจิตจับการฆ่านั้น วับ!!! ไปอบายเลย แต่ถ้าเป็นคนมีปกติทำกุศล เวลาใกล้ตายจิตไม่จับอกุศล อย่างนี้ก็ไม่ตกนรก เห็นได้ชัดว่า จิตจักจับกระไรนั้น มันขึ้นกับ "ความประทับใจจอร์จ" ถ้าบาปหนึ่ง ๆ ทำให้เราประทับใจมากจนไม่อาจลืม เช่นการฆ่าคน ทำบุญทำกุศลกระไรอย่างไรก็ไม่ลืม อย่างนั้นหวังนรกได้เลยครับ ที่นี้ถ้าไปสงสัยแทนทั่นมาร์คว่า ทั่นจักไปไหน ก็ต้องไปนั่งในใจทั่น ทราบให้ได้ว่า ทั่นประทับใจจอร์จการฆ่าสัตว์เพียงไร
สรุปว่า การฆ่าสัตว์หรือการทำบาปทั้งปวงนั้น เลี่ยงได้ก็ควรเลี่ยงครับ ควรทำตามโอวาทปาติโมกข์ ไม่ทำบาปทั้งปวง ทำกุศลให้ถึงพร้อม และรักษาจิตให้ผ่องแผ้ว ไม่ควรไปทดลองตกนรก ธรรมบางอย่างก็ไม่จำเป็นต้องลอง
มาดูเรื่องของคนกินมังสวิรัติกันบ้าง
มักได้รับเหตุผลอย่างที่กล่าวไปเบื้องต้นว่า ฆ่าเองกับยืมมือคนอื่นฆ่า ก็ไม่ต่างกัน มันต่างกันแน่นอนครับ ตามเหตุผลที่เขียนไปแล้ว แล้วการกินมังสวิรัติ ไม่มีผลเลยหรือ? ในพระพุทธศาสนานิยามการปฏิบัติแบบนี้ว่าอย่างไร? เรื่องนี้ก็ยังคงวนอยู่เรื่องเดิมละครับ คือเรื่องของศีล ๕ บอกแล้วว่า ศีลมิใช่เรื่องเล็กน้อย ต้องมนสิการอยู่จึงเข้าใจ การกินมังสวิรัตินี้เป็นเรื่องของกำลังใจในการรักษาศีลครับ มี ๓ ระดับคือ ขั้นต้นไม่ล่วงศีลด้วยตนเอง ขั้นกลางไม่แนะนำให้ผู้อื่นล่วงศีล และไม่ยินดีเมื่อผู้อื่นล่วงศีลแล้ว อันเป็นกำลังใจการรักษาศีลขั้นปรมัตถ์
การกินมังสวิรัติโดยมีเจตนาไม่เบียดเบียนชีวิตสัตว์ (มิใช่เพื่อสนองอัตตาตัวตนว่า กรูดีกว่าคนอื่น อย่างนั้นไม่เอาห่วยครับ) เป็นการรักษาศีลขั้นปรมัตถ์ครับ คือ "ไม่ยินดีเมื่อผู้อื่นล่วงศีลแล้ว" ความเข้าใจตรงนี้สามารถนำไปแอ็พพลายใช้กับข้อสงสัยในการรักษาศีลข้ออื่นได้ ด้วย เช่น การซื้อของละเมิดลิขสิทธิ์เป็นการทุศีลข้ออทินนาทานหรือไม่? มีผู้ที่ข้าพเจ้าให้ความเชื่อถือวินิจฉัยไว้ครับว่า ไม่ผิดศีล (คงหมายถึงศีลขั้นต้น) กล่าวคือเราไม่ได้ไปขโมยสินค้านี้มาจากคนขาย คนที่ล่วงศีลคือคนที่ไปก๊อปต้นฉบับคนแรกแล้วเอามาขาย อ่านดูก็ถูกต้องตามหลักเหตุผลใช่ไหมครับ แต่ก็ยังรู้สึกแหม่ง ๆ อยู่ ครั้นเราเอาเรื่องกำลังใจในการรักษาศีลมาจับ ก็ชัดเจนเลยว่า ยังไม่ถึงขั้น "ไม่ยินดีเมื่อผู้อื่นล่วงศีลแล้ว" คือยังยินดีที่เขาไปละเมิดลิขสิทธิ์มาขายเรา อย่างนี้เป็นต้น
เห็นไหมครับว่าแค่เรื่องศีล ๕ อย่างเดียวมันละเอียดขนาดไหน? ที่ท่านว่า ศีล ๕ รักษาดี ๆ ก็ไปนิพพานได้ ไม่ผิดเลย
เรื่องของศีลผ่านไป มาดูเรื่องกฎหมายกันมั่ง อย่างที่เกริ่นไปตอนต้นว่า ศีลเป็นไปเพื่อการไม่เบียดเบียนกันในสังคม ซึ่งเป็นวัตถุประสงค์ที่ใกล้เคียงกับกฎหมายที่ใช้รักษาความสงบเรียบร้อยของสังคม ดังนั้นแม้ไม่ผิดศีลขั้นต้น แต่ดันไปผิดกฎหมาย ซึ่งสามารถทำให้มีคนเดือดร้อนอีกหลายฝ่าย เช่น เจ้าของลิขสิทธิ์ต้องไปบังคับให้เจ้าพนักงานกวาดล้าง เจ้าพนักงานต้องปฏิบัติตามหน้าที่อย่างเคร่งครัด ฯลฯ มันเลยกลายเป็นทุศีลแบบอ้อม ๆ
เมื่อไม่นานมานี้พบรุ่นพี่คนหนึ่งบน FB ไม่เชื่อว่านรกสวรรค์มีจริง การปรามาสภิกษุที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบสามารถพาให้ลงนรกได้จริง เตือนก็ไม่เชื่อ กลับตอบมาทำนอง "อย่ามาเ-ือกเรื่องของกรู" ด้วยบริบทแบบนุ่มนวลว่า "ไม่เป็นไรครับหลวงพี่ ทำเองก็เจ็บเองเป็นบทเรียน" แม้จักยกตัวอย่างให้สมจริงเพียงใดก็ตาม ดูเหตุการณ์แล้วก็ปล่อยไป เราได้ทำหน้าที่ของเราแล้ว
เวลาคนเราไม่มีศีล อะไร้อะไร้มันก็มัว ๆ ไปหมด กระไรที่เขาว่า ดี ๆ ก็เห็นเป็นเรื่องโบร่ำโบราณคร่ำครึงมงาย การจักแหวกความมัวของมิจฉาทิฏฐิออกมาได้ มิใช่เรื่องง่าย ทั้งรุ่นพี่คนนี้ยังเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยด้วย การแพร่กระจายแนวคิดความเห็นผิดเหล่านี้ออกไปเป็นวงกว้างผ่านทางเฟสบุ๊ค ก็ยิ่งทำให้เขามัวมากขึ้น ออกจากมิจฉาทิฏฐิได้ยากขึ้น บางทีอาจต้องลองลงนรกดูสักคราว แล้วคงระลึกกระไรขึ้นได้บ้าง
การทำงานของนรกนั้น นอกจากมีแต่ความทรมานอย่างที่รู้ ๆ กัน และเราเป็นผู้สร้างนรกขึ้นเองแล้ว อเมซซิ่งยิ่งกว่านั้น (ที่คนไม่ค่อยรู้กัน) คือ วิธีพ้นจากนรกครับ ในคิริมานนทสูตรกล่าวถึงวิธีพ้นนรกไว้ว่า "อันทุกข์ในนรกนั้น จะรู้ก็ตาม ไม่รู้ก็ตาม ถ้าทำกรรมที่เป็นบาปแล้ว ผู้ที่รู้หรือผู้ที่ไม่รู้ก็ตกนรกเหมือนกัน ถ้าไม่รู้จักนรกก็ยิ่งไม่มีเวลาพ้นจากนรกได้ ถึงจะทำบุญให้ทานสักปานใดก็ไม่อาจพ้นจากนรกได้ แต่มิใช่ว่าทำบุญให้ทานไม่ได้บุญ ความสุขที่ได้แต่การทำบุญนั้นมีอยู่ แต่ว่าเป็นความสุขที่ยังไม่พ้นจากทุกข์ในนรก เมื่อยังไม่รู้ไม่เห็นนรกตราบใด ก็ยังไม่พ้น จากนรกอยู่ตราบนั้น ครั้นได้เข้าถึงนรกแล้ว เมื่อได้รู้ทางออกจากนรกได้แล้วปรารถนาจะพ้นจากนรกก็พ้นได้ เมื่อไม่อยากพ้นก็ไม่อาจพ้นได้ ต้องรู้จักแจ้งชัดว่านรกอยู่ในที่นั้น ๆ มีลักษณะอาการอย่างนั้น ๆ และควรรู้จักทางออกจากนรกให้แจ้งชัด ทางออกจากนรกนั้นก็คือ ศีล ๕ ศีล ๑๐ ศีลพระปาติโมกข์นั่นเอง เมื่อรู้แล้วอยากจะออก ให้พ้นก็ออกได้ ไม่อยากจะออกให้พ้นก็พ้นไม่ได้ ผู้ที่รู้กับผู้ที่ไม่รู้ย่อมได้รับทุกข์ในนรกเหมือนกัน ส่วนความสุขในมนุษย์สวรรค์และพระนิพพานนั้นต้องรู้จึงจะได้"
จากพระสูตรนี้เอง อนุมานได้ว่า คนเราที่เป็นมิจฉาทิฏฐิ ก็ใช้ชีวิตอยู่ในนรกตั้งแต่ยังมีชีวิตอยู่นี่แล แต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่า นี่เป็นนรก ยังสนุกสนานไปกับการทำบาป ล่วงอกุศลกรรมบถ ไม่เห็นโทษของมัน ก็เลยไม่รู้สึกต้องการพ้นจากนรก ไม่รู้จักนรก และไม่รู้จักวิธีพ้นจากนรก
ย้อนดูตัวเอง นี่เราเดินมาไกลแค่ไหนแล้วนะกว่าจักมาถึงจุดนี้ ผ่านการเป็นสัตว์นรกเสียหลายสิบปีตอนนี้พ้นหรือยังก็ไม่ทราบ กว่าจักเริ่มมีศรัทธา กว่าจักมาพยายามรักษาศีล ๕ กว่าจักออกบวช กว่าจักมีโอกาสได้ศึกษาพระศาสนาอย่างจริงจัง กว่าจักเริ่มค่อยถอดถอนตัวตน นึกถึงตัวเองตอนยังสำมะเลเทเมา ก็เป็นมิจฉาทิฏฐิเช่นนี้แหละ เดี๋ยววันหนึ่งเขาก็คิดได้เอง
ที่ยังสนุกอยู่ ก็เป็นไปได้ว่า เขาอาจห่างเหินการตกนรกมานานจนลืมไปแล้วว่ามันทรมานยังไง ธรรมบางอย่างไม่ต้องทดลองทำก็อาจดีกว่า แต่หากไม่เชื่อคำเตือน ก็จนปัญญา เวลายังไม่เจอของจริงก็เก่งกันเสียเต็มประดา ธรรมบางอย่างกว่าจักรู้ก็สายเสียแล้ว เดี๋ยวจักหาว่า โล้นซ่าไม่เตือนนะขอรับ เจ้านายยยย....
เจริญธรรม ฯ
Share:

ตัวอย่างข้อสอบสนามหลวงวิชาวินัยมุข น.ธ.ตรี

imagesCAN4BKSX
                          ตัวอย่างข้อสอบสนามหลวงวิชาวินัยมุข

๑. พระศาสดาผู้เป็นสังฆบิดรดูแลภิกษุสงฆ์ ทรงทำหน้าที่ทางพระวินัยอย่างไรตอบ ทรงทำหน้าที่ ๒ ประการ คือ
๑. ทรงตั้งพุทธบัญญัติเพื่อป้องกันความประพฤติเสียหาย และวางโทษแก่ภิกษุผู้ล่วงละเมิดด้วยปรับอาบัติหนักบ้าง เบาบ้าง
๒. ทรงตั้งขนบธรรมเนียม ซึ่งเรียกว่าอภิสมาจารเพื่อชักนำความประพฤติของภิกษุสงฆ์ให้ดีงาม ฯ 
๒. พระวินัย คืออะไร พระภิกษุรักษาพระวินัยดีแล้ว ย่อมได้รับอานิสงส์อย่างไร  บัญญัติมีกี่ชนิด อะไรบ้าง
ตอบ พระวินัย คือ พระพุทธบัญญัติ และอภิสมาจาร ภิกษุรักษาพระวินัยดีแล้ว ย่อมได้รับอานิสงส์คือ ความไม่ต้องเดือดร้อนใจ (วิปฏิสาร) ๑, ได้รับความแช่มชื่นว่า ได้ประพฤติดีงาม ๑ และ เข้าหมู่สงฆ์ก็อาจหาญ ๑
บัญญัติ มี ๒ อย่าง ได้แก่ มูลบัญญัติ คือพระบัญญัติที่ตั้งไว้เดิม อนุบัญญัติ คือพระบัญญัติเพิ่มเติมวินัยบัญญัติ มี ๒ อย่าง คือ อาทิพรหมจริยกาสิกขา ข้อศึกษาอันเป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ และอภิสมาจาริกาสิกขา ข้อศึกษาอันเนื่องด้วยอภิสมาจาร คือมารยาทอันดีงาม  หรือ อาคาริยวินัย วินัยของคฤหัสถ์ เช่น ศีล ๕, ศีล ๘กับ อนาคาริยวินัย วินัยของบรรพชิตในพุทธศาสนา เช่น ศีล ๒๒๗  ฯ 
๓. คำว่าต้องอาบัติ หมายความว่าอย่างไร อาบัติมีโทษกี่สถาน อะไรบ้าง  อาบัติว่าโดยชื่อมีอะไรบ้าง  ต้อง
แล้วต้องทำอย่างไร
ตอบ คำว่าต้องอาบัติ หมายถึง ต้องโทษ คือมีความผิดฐานละเมิดข้อที่พระพุทธเจ้าทรงห้าม มีโทษ ๓ สถาน อย่างหนัก (ครุกาบัติ) ๑, อย่างกลาง ๑ และ อย่างเบา ๑(หรือจะตอบว่า มี ๒ สถาน คือ แก้ไขได้ สเตกิจฉา และแก้ไขไม่ได้ อเตกิจฉา ก็ได้)อาบัติว่าโดยชื่อมี ๗ อย่าง คือ ปาราชิก ๑, ถุลลัจจัย ๑,สังฆาทิเสส ๑, ปาจิตตีย์ ๑, ปาฏิเทสนียะ ๑, ทุกกฎ ๑, ทุพภาสิต ๑, อาบัติปาราชิกต้องแล้วขาดจากความเป็นภิกษุ, สังฆาทิเสส ต้องแล้วต้องอยู่กรรม นอกนั้นประจานตนต่อหน้าภิกษุอื่น ที่มีมาในพระปาติโมกข์ ๒๒๐ ข้อ เพิ่มอธิกรณสมถะ อีก๗ ข้อ ได้แก่ 
๑. ปาราชิก ๔ เป็นโทษอย่างหนัก เป็นอเตกิจฉา แก้ไขไม่ได้ ต้องแล้วพ้นจากความเป็นภิกษุทันที ปาราชิก แปลว่าผู้พ่าย มีผลคือ ห้ามมรรค ผลนิพพาน สุงกฆาตะ คือหนีภาษี จัดเข้าข้อ ๒ อาทิกัมมิกะ คือภิกษุผู้ก่อเหตุต้นบัญญัติ
๒. สังฆาทิเสส ๑๓ เป็นโทษอย่างกลาง เป็นสเตกิจฉา แก้ไขได้ด้วยการอยู่กรรม หรือ อยู่ปริวาส ถึงจะพ้นโทษ มี ๒ อย่าง ปฐมาปัตติกะ ต้องอาบัติแต่แรกทำ ได้แก่ สิกขาบทที่ ๑ - ๙ และ ยาวตติยกะ ต้องอาบัติต่อเมื่อสงฆ์สวดประกาศ ๓ ครั้ง ได้แก่ สิกขาบทที่ ๑๐ - ๑๓  เพราะเป็นอาบัติหนัก จึงเรียกว่า ครุกาบัติ เพราะมีเรื่องหยาบคายมาก จึงเรียกว่า ทุฏฐุลลาบัติ  เพราะภิกษุผู้ต้อง จะพ้นได้ด้วยอยู่กรรม จึงเรียกว่า วุฏฐานคามินี สิกขาบทที่ ๑๐ คือทำสังฆเภทต้องแล้วจัดเป็นคนเลวทรามที่สุด  สิกขาบทที่ ๑ - ๔ มีราคะเป็น
เค้ามูล สิกขาบทที่ ๘, ๙ มีโทสะเป็นเค้ามูล
๓. อนิยต ๒ หมายถึงไม่แน่ อาจปรับเป็นอาบัติอย่างใดอย่างหนึ่งตามบริบท ที่ลับตา อาจปรับ ปาราชิก สังฆาทิเสส หรือ ปาจิตตีย์ ที่ลับหูอาจปรับ สังฆาทิเสส หรือ ปาจิตตีย์ 
๔. นิสสัคคีย์ ปาจิตตีย์ ๓๐ เป็นโทษอย่างเบา เป็นสเตกิจฉา สละของเสีย จึงแสดงอาบัติตก  มี ๓ หมวด ได้แก่
๑. จีวรวรรค ๑๐ ว่าด้วยจีวร
๒. โกสิยวรรค ๑๐ ว่าด้วยสันถัต และอื่น ๆ
๓. ปัตตวรรค ๑๐ ว่าด้วยบาตร และอื่น ๆ
๕. ปาจิตตีย์ ๙๒ เป็นโทษอย่างเบา แสดงอาบัติก็พ้นโทษ แบ่งเป็น ๙หมวด  ถามว่ามีกี่วรรค อะไรบ้าง) ได้แก่
๑. มุสาวาทวรรค ๑๐ (๓๘) ออกข้อสอบถามว่า สิกขาบทที่ ๕บัญญัติไว้เพื่ออะไร ตอบ เพื่อป้องกันไม่ให้ชาวบ้านเห็นอาการนอนหลับของภิกษุ
๒. ภูตคามวรรค ๑๐  ออกข้อสอบถามว่า ภิกษุยกผักตบชวาขึ้นมาจากแม่น้ำ ไปไว้ในสระ ต้องอาบัติหรือไม่ต้องอาบัติอะไร จงอธิบาย ตอบ ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ถือการยกออกจากที่เดิมเป็นประมาณ ผักตบชวาจะตายหรือไม่ ไม่สำคัญ
๓. โอวาทวรรค ๑๐
๔. โภชนวรรค ๑๐  ออกข้อสอบถามว่า “วิกาล” ในสิกขาบทที่ ๗ หมายถึงเวลาใด ตอบ หมายถึงเวลาตั้งแต่เที่ยงวันไปแล้ว จนถึงอรุณขึ้น 
๕. อเจลกวรรค ๑๐
๖. สุราปานวรรค ๑๐
๗. สัปปาณวรรค ๑๐
๘. สหธรรมิกวรรค ๑๒  ออกข้อสอบถามว่า วรรคใดมี
๑๒ สิกขาบท
๙. รตนวรรค ๑๐
๖. ปาฏิเทสนียะ ๔ โทษอย่างเบา 
๗. เสขียะ ๗๕ โทษอย่างเบา ละเมิดต้องอาบัติทุกกฎ ไม่เอื้อเฟ้อ ต้องอาบัติทุกกฎ (๔๘,๔๑,๓๕) มี ๔ หมวด ได้แก่ สารูป ๒๖ธรรมเนียมประพฤติเวลาเข้าบ้าน ๑  โภชนปฏิสังยุต ๓๐ธรรมเนียมบิณฑบาต และฉันอาหาร ๑, เทสนาปฏิสังยุต ๑๖ธรรมเนียมไม่ให้แสดงธรรม แก่บุคคลที่แสดงอาการไม่เคารพ ๑,และ ปกิณณกะ ๓ ธรรมเนียมถ่ายอุจจาระปัสสาวะ ๑
๘. อธิกรณสมถะ ๗ ว่าด้วยวิธีระงับ อธิกรณ์ ออกข้อสอบถามว่า วินัยมุขกัณฑ์ที่ ๙ ว่าด้วยเรื่องอะไร ตอบ ว่าด้วยเรื่อง อธิกรณสมถะ ฯ 
๔. สิกขา กับ สิกขาบท ต่างกันอย่างไร  สิกขามีหน้าที่ต่างกันอย่างไร
ตอบ สิกขา คือ ข้อที่ควรศึกษา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา สิกขาบท คือ พระวินัยบัญญัติ
มาตราหนึ่ง ๆ สิกขา ๓ มีหน้าที่ต่างกันดังนี้ ศีล กำจัดกิเลสอย่างหยาบอันให้ล่วงทาง
กาย ทางวาจา เรียกว่า วีติกกมะ สมาธิสำหรับกำจัดกิเลสอย่างกลางที่ให้กลัดกลุ้มรุม
ใจ เรียกว่า ปริยุฏฐาน ปัญญา สำหรับกำจัดกิเลสอย่างละเอียดที่นอนเนื่องอยู่ใน
สันดาน เรียกว่า อนุสัย ฯ 
๕. อาการที่ภิกษุต้องอาบัติมีเท่าไร อะไรบ้าง ต้องด้วยอาการอย่างไร ถือว่าเสียหายมากที่สุด
ตอบ อาการที่ภิกษุต้องอาบัติ มี ๖ อาการ ได้แก่
๑. ต้องด้วยไม่ละอาย ถือว่าเสียหายมากที่สุด
๒. ต้องด้วยไม่รู้ว่า สิ่งนี้เป็นอาบัติ
๓. ต้องด้วยสงสัยแล้วขืนทำลง
๔. ต้องด้วยเห็นว่าควร ในสิ่งไม่ควร
๕. ต้องด้วยเห็นว่าไม่ควร ในสิ่งที่ควร  ถามว่า กปฺปิเย อกปฺปิยสญฺญิตา คืออย่างไร ตอบ คือ ต้องอาบัติด้วยเห็นว่าไม่ควร ในสิ่งที่ควร
๖. ต้องด้วยลืมสติ 
๖. ภิกษุฆ่าสัตว์ให้ตาย และพยายามฆ่าตนเอง ต้องอาบัติอะไร
ตอบ ภิกษุฆ่ามนุษย์ ต้องอาบัติปาราชิก, ฆ่าอมนุษย์ ต้องอาบัติถุลลัจจัย, ฆ่าสัตว์ ต้อง
อาบัติปาจิตตีย์, ฆ่าตนเอง ต้องทุกกฎ ฯ
๗. โทษอย่างไรเรียกว่า โลกวัชชะ อย่างไรเรียก ปัณณัตติวัชชะ
ตอบ ที่เป็นโทษทางโลก ผิดกฎหมายบ้านเมือง ผู้ไม่ใช่ภิกษุทำเข้าก็ผิด เรียกโลกวัชชะ,มีโทษทางพระวินัย แต่ไม่ผิดกฎหมายบ้านเมือง คือผู้ไม่ใช่ภิกษุทำเข้าก็ไม่จัดว่าผิดเรียกปัณณัตติวัชชะ ฯ 
๘. อะไรเรียกว่าสมุฏฐานแห่งอาบัติ มีเท่าไร บอกมาดู
ตอบ สมุฏฐานแห่งอาบัติ คือ ที่เกิดแห่งอาบัติ โดยตรง มี ๔ คือ ลำพังกาย ๑, ลำพังวาจา ๑, ลำพังกายกับจิต ๑, ลำพังวาจากับจิต ๑ เมื่อว่าตามบาลี มี ๖ คือเพิ่ม กายวาจา ๑ และ กายวาจาจิต ๑ 
๙. กิจที่บรรพชิตไม่ควรทำซึ่งเรียกว่า อกรณียกิจ มีกี่อย่าง อะไรบ้าง นิสสัยคืออะไร มีอะไรบ้าง  อกรณียกิจ และนิสสัยรวมเรียกว่าอะไร
ตอบ อกรณียกิจมี ๔ อย่าง ได้แก่ เสพเมถุน ๑, ลักของเขา ๑, ฆ่าสัตว์ ๑ และ พูดอวดคุณวิเศษที่ไม่มีในตน ๑นิสสัย คือ กิจที่บรรพชิตควรทำ หรือเครื่องอาศัยของบรรพชิต มี ๔ อย่างได้แก่ บิณฑบาต ๑, นุ่งห่มผ้าบังสุกุล ๑, อยู่โคนไม้ ๑ และฉันยาดองด้วยน้ำมูตรเน่า ๑อกรณียกิจ และนิสสัย รวมเรียกว่า อนุศาสน์ ๘ ฯ 
๑๐. ปริสสมบัติคืออะไร (๓๗) ผู้ที่จะอุปสมบทต้องพร้อมด้วยวัตถุสมบัติกี่ประการ อะไรบ้าง
ตอบ ปริสสมบัติ คือ ภิกษุผู้ร่วมประชุมสงฆ์, ผู้อุปสมบทต้องพร้อมด้วยวัตถุสมบัติที่
สำคัญ ๕ ประการ คือ
๑. เป็นมนุษย์ผู้ชาย
๒. มีอายุครบ ๒๐ ปีบริบูรณ์
๓. ไม่เป็นมนุษย์วิบัติ เช่นถูกตอน หรือเป็นกะเทย
๔. ไม่เคยทำอนันตริยกรรม
๕. ไม่เคยต้องปาราชิก หรือไม่เคยเข้ารีตเดียรถีย์
๑๑. อุปสัมปทา การอุปสมบท มี ๓ วิธี ในปัจจุบันใช้วิธีไหน กำหนดสงฆ์อย่างต่ำไว้เท่าไร
ตอบ การอุปสมบท มี ๓ วิธีได้แก่ เอหิภิกขุอุปสัมปทา โดยพระศาสดา ๑, ติสรณคมนอุปสัมปทา โดยพระสาวก ๑ และญัตติจตุตถกัมมวาจาอุปสัมปทา โดยสงฆ์ ๑ ปัจจุบันใช้วิธี ญัตติจตุตถกัมมวาจาอุปสัมปทา กำหนดสงฆ์ไว้อย่างต่ำ ๑๐ รูป ในมัธยมประเทศ ๕ รูป ในปัจจันตประเทศ ฯ 
๑๒. ภิกษุฆ่าสัตว์เป็นอาบัติอะไร (๓๖,๓๓) ปาราชิกสิกขาบทที่ ๓ และ ๔ ความว่าอย่างไร
ตอบ ภิกษุฆ่าสัตว์มนุษย์ ถ้าสำเร็จ ต้องอาบัติปาราชิก ถ้าไม่สำเร็จแต่บาดเจ็บ ต้องอาบัติถุลลัจจัย ไม่ถึงอย่างนั้น ต้องอาบัติทุกกฎ, ภิกษุพยายามฆ่าตนเอง ต้องอาบัติทุกกฎ, ภิกษุฆ่าสัตว์อื่น ต้องอาบัติตามวัตถุ ฯ
ปาราชิกสิกขาบทที่ ๓ ความว่า ภิกษุแกล้งฆ่ามนุษย์ให้ตาย ต้องอาบัติปาราชิก,ปาราชิกสิกขาบทที่ ๔ ความว่า ภิกษุพูดอวดอุตตริมนุสสธรรมที่ไม่มีในตน ต้องอาบัติปาราชิก ฯ 
๑๓. ปาราชิก สิกขาบทที่ ๒ และ ๔ มีความว่าอย่างไร
ตอบ สิกขาบทที่ ๒ ความว่า ภิกษุถือเอาของที่เจ้าของไม่ได้ให้ ได้ราคา ๕ มาสก ต้องอาบัติปาราชิก, สิกขาบทที่ ๔ ความว่า ภิกษุพูดอวดอุตตริมนุสสธรรมที่ไม่มีในตนต้องอาบัติปาราชิก ฯ 
๑๔. สังหาริมทรัพย์ และ อสังหาริมทรัพย์ คือทรัพย์เช่นไร ภิกษุจะต้องอาบัติถึงที่สุดเพราะลักทรัพย์ทั้ง ๒ อย่างนั้นเมื่อใด
ตอบ สังหาริมทรัพย์ คือ ทรัพย์ที่เคลื่อนที่ได้ ได้แก่ ปศุสัตว์ และสัตว์พาหนะ เช่นแพะ แกะ สุกร โค กระบือ เป็นต้น อสังหาริมทรัพย์ คือ ทรัพย์ที่เคลื่อนที่ไม่ได้ ได้แก่ที่ดิน เรือน เป็นต้น ฯภิกษุต้องอาบัติถึงที่สุดเพราะลักสังหาริมทรัพย์ เมื่อทรัพย์เคลื่อนจากฐาน  อสังหาริมทรัพย์ เมื่อเจ้าของเดิมสละกรรมสิทธิ์ ฯ
๑๕. อุตตริมนุสสธรรม คืออะไร มีอะไรบ้าง
ตอบ อุตตริมนุสสธรรม คือ ธรรมอันยิ่งของมนุษย์ มี ๗ อย่าง ได้แก่ ฌาน วิโมกข์สมาธิ สมาบัติ มรรค ผล นิพพาน ฯ 
๑๖. ปาราชิก ๔ ข้อไหนเป็นสจิตตกะ ข้อไหนเป็นอจิตตกะ ทำไมเป็นเช่นนั้น ข้อไหนเป็น สาณัตติกะ ข้อไหนเป็นอนาณัตติกะ
ตอบ ปาราชิกทั้ง ๔ ข้อเป็นสจิตตกะ ที่เป็นเช่นนั้น เพราะต้องด้วยจงใจ เกิดขึ้นโดยมีเจตนาเป็นสมุฏฐาน ฯ
ข้อ ๑ และ ๔ เป็น อนาณัตติกะ เพราะใช้ให้ผู้อื่นทำไม่เป็นอาบัติ ข้อ ๒ และ ๓ เป็นสาณัตติกะ เพราะใช้ให้ผู้อื่นทำก็ต้องอาบัติ ฯ 
๑๗. อทินนาทานสิกขาบท กำหนดราคาทรัพย์ เป็นวัตถุแห่งอาบัติไว้อย่างไรบ้าง
ตอบ ทรัพย์ราคาตั้งแต่ ๕ มาสก หรือ ๑ บาทขึ้นไป ต้องปาราชิก, ๑ - ๔ มาสกต้องถุลลัจจัย ตั้งแต่ ๑ มาสกลงมา ต้องทุกกฎ ฯ 
๑๘. ภิกษุมีความกำหนัดจับต้องกายหญิง กะเทย บุรุษ สัตว์ดิรัจฉานเพศผู้ สัตว์ดิรัจฉานเพศเมีย ต้องอาบัติอะไร
ตอบ ภิกษุมีความกำหนัด จับต้องกายหญิงต้องสังฆาทิเสส, กะเทย หรือบัณเฑาะว์ต้องถุลลัจจัย, บุรุษ และสัตว์ดิรัจฉาน ต้องทุกกฏ ฯ 
๑๙. คำว่า มาตุคาม ในสังฆาทิเสส สิกขาบทที่ ๒, ๓, ๔ และ ๕ ต่างกันอย่างไร
ตอบ มาตุคามใน สิกขาบทที่ ๒ ถือเอาหญิงแม้ที่สุดเกิดในวันนั้น สิกขาบทที่ ๓ - ๕ ถือเอาความรู้เดียงสาเป็นหลัก ฯ 
๒๐. คำว่า สจิตตกะ กับ อจิตตกะ มีความหมายว่าอย่างไร
ตอบ สจิตตกะ คือ อาบัติที่ต้องเพราะมีเจตนาล่วงละเมิด อจิตตกะ คือ อาบัติที่ต้องแม้ไม่มีเจตนาล่วงละเมิด ฯ 
๒๑. ภิกษุที่ต้องอาบัติเพราะทรัพย์ของตนเองนั้นมีหรือไม่ จงชี้แจง
ตอบ มี คือ การหนีภาษี หรือ สุงกฆาตะ ต้องอาบัติตามจำนวนเงินที่หนีภาษี ฯ
๒๒. ที่ลับตา กับ ที่ลับหู ต่างกันอย่างไร ที่ลับทั้ง ๒ นั้น เป็นทางให้ปรับอาบัติได้มากน้อยกว่ากันอย่างไร
ตอบ ที่ลับตา คือ ที่ที่มีวัตถุกำบัง แลเห็นไม่ได้ ที่ลับหู คือ ที่แจ้ง แลเห็นได้ แต่ห่างไม่ได้ยินเสียงพูด
ภิกษุนั่งในที่ลับตากับหญิงสองต่อสอง(หนึ่งต่อหนึ่ง) เป็นทางให้ปรับอาบัติปาราชิกสังฆาทิเสส หรือ ปาจิตตีย์ภิกษุนั่งในที่ลับหูกับหญิงสองต่อสอง(หนึ่งต่อหนึ่ง) เป็นทางให้ปรับอาบัติสังฆาทิเสสหรือ ปาจิตตีย์ที่ลับตาเป็นทางให้ปรับอาบัติมากกว่า ฯ 
๒๓. ผ้าไตรจีวรคือผ้าอะไร ได้แก่อะไรบ้าง  อธิษฐานจีวรกับ อติเรกจีวร ต่างกันอย่างไร
ตอบ ผ้าไตรจีวรคือผ้า ๓ ผืน ที่ทรงอนุญาตให้ภิกษุอธิษฐานไว้ใช้สำหรับตนเอง ได้แก่สังฆาฏิ (ผ้าคลุม), อุตตราสงค์ (ผ้าห่ม), อัตตรวาสก (ผ้านุ่ง) อธิษฐานจีวร หมายถึงผ้าที่ทรงอนุญาตให้ภิกษุมีได้ ๓ ผืน อติเรกจีวร ได้แก่จีวรอันไม่ใช่ของอธิษฐาน ไม่ใช่ของวิกัป ทั้งไม่จำกัดจำนวน ฯ 
๒๔. ผ้าจีวรที่ทรงอนุญาตให้ใช้ได้ทำด้วยวัตถุกี่ชนิด อะไรบ้าง
ตอบ ผ้าจีวรที่ทรงอนุญาตให้ใช้ได้ ทำด้วยวัตถุ ๖ ชนิด ดังนี้
๑. โขมํ ทำด้วยเปลือกไม้ เช่น ผ้าลินิน
๒. กปฺปาสิกํ ทำด้วยฝ้าย คือ ผ้าสามัญ
๓. โกเสยฺยํ ทำด้วยไหม คือ ผ้าแพร
๔. กมฺพลํ ทำด้วยขนสัตว์ เช่น ผ้าสักหลาด
๕. สาณํ ทำด้วยเปลือกไม้สาณะ เช่น ผ้าป่าน
๖. ภงฺคํ ทำด้วยสัมภาระเจือกัน 
๒๕. เภสัช ๕ ที่ภิกษุรับประเคนแล้วเก็บไว้ฉันได้ไม่เกิน ๗ วัน ได้แก่อะไรบ้าง  น้ำตาลจัดเข้าเภสัชชนิดใด
ตอบ เภสัช ๕ ได้แก่ เนยใส เนยข้น น้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย น้ำตาลจัดเข้าน้ำอ้อย ฯ
๒๖. เมื่อภิกษุได้จีวรใหม่มา ก่อนที่จะนุ่งห่ม ต้องทำพินทุด้วยสี ๓ สี อย่างใดอย่างหนึ่ง คือสีอะไรบ้าง  จีวร ผ้านิสีทนะ อังสะ ผ้าเช็ดหน้า ย่ามผ้า เมื่อจะใช้สอย อย่างไหนควรพินทุ อย่างไหนไม่ควร เพราะเหตุใด  คำว่า“พินทุกัปปะ” คืออะไร
ตอบ จีวรใหม่ ควรพินทุด้วยสี ๓ สี คือ สีเขียวคราม, สีโคลน, สีดำคล้ำ จีวร และอังสะ ควรพินทุ เพราะใช้ห่ม ผ้านิสีทนะ ผ้าเช็ดหน้า และย่ามผ้า ไม่ต้องพินทุ เพราะไม่ได้ใช้นุ่งห่ม “พินทุกัปปะ” คือการทำให้เสียสี ฯ 
๒๗. บริขาร ๘ มีอะไรบ้าง ภิกษุซ่อนบริขารของผู้อื่นเพื่อล้อเล่นต้องอาบัติอะไร
ตอบ บริขาร ๘ มี สังฆาฏิ ๑, อุตตราสงค์ ๑, อันตรวาสก ๑, บาตร ๑, มีดโกน ๑,กล่องเข็ม ๑, รัดประคด ๑, หม้อกรองน้ำ ๑, ภิกษุซ่อนบริขาร ๘ อย่างนี้ ของภิกษุอื่นเพื่อล้อเล่น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ตามสิกขาบทที่ ๑๐ แห่งสุราปานวรรค, ถ้าซ่อนบริขารอื่นนอกจาก ๘ อย่างนี้ ต้องอาบัติทุกกฎ, ถ้าซ่อนบริขารของอนุปสัมบัน ต้องอาบัติทุกกฎ ฯ 
๒๘. ผ้าไตรครอง มีอะไรบ้าง ต่างจากอติเรกจีวรอย่างไร
ตอบ มี สังฆาฏิ อุตตราสงค์ อันตรวาสก ฯต่างกันอย่างนี้ ผ้าไตรครองเป็นผ้าที่ภิกษุอธิษฐาน มีจำนวนจำกัด คือ ๓ ผืน ส่วน อติเรกจีวร คือผ้าที่นอกเหนือจากผ้าไตรครอง มีได้ไม่จำกัดจำนวน ฯ 
๒๙. พระ ก. นำเบียร์มาให้พระ ข. ดื่ม โดยหลอกว่าเป็นน้ำอัดลม พระ ข.หลงเชื่อจึงดื่มเข้าไป ถามว่า พระ ก. และพระ ข. ต้องอาบัติอะไรหรือไม่
ตอบ พระ ก. เป็นอาบัติปาจิตตีย์เพราะพูดปดพระ ข. เป็นอาบัติปาจิตตีย์เพราะดื่มน้ำเมา แม้ไม่รู้ก็ต้องอาบัติ เพราะสิกขาบทนี้เป็นอจิตตกะ ฯ 
๓๐. การอุปสมบทจัดเป็นอธิกรณ์อะไร ใครเป็นผู้ระงับอธิกรณ์นั้น
ตอบ การอุปสมบทจัดเป็นกิจจาธิกรณ์ สงฆ์เป็นผู้ระงับอธิกรณ์นั้น ฯ
๓๑. ภิกษุนำตั่งของสงฆ์ไปตั้งใช้ในที่แจ้ง จะหลีกไปสู่วัดอื่นต้องทำอย่างไร จึงจะไม่เป็นอาบัติ
ตอบ ต้องเก็บด้วยตนเอง หรือใช้ให้ผู้อื่นเก็บ หรือมอบหมายให้ผู้อื่น จึงจะไม่เป็นอาบัติ ฯ 
๓๒. ลักษณะการประเคนประกอบด้วยองค์อะไรบ้าง การช่วยกันยกโต๊ะอาหารขึ้นประเคนก็ดี การจับผ้าปูโต๊ะประเคนก็ดี ทั้ง ๒ วิธีนี้ถูกต้องหรือไม่ เพราะเหตุไร
ตอบ ประกอบด้วยองค์ต่อไปนี้
๑. ของที่จะพึงประเคนนั้นไม่ใหญ่โตหรือหนักเกินไป พอคนปานกลาง
ยกได้คนเดียว
๒. ผู้ประเคนเข้ามาอยู่ในหัตถบาส
๓. เขาน้อมเข้ามา
๔. กิริยาที่น้อมเข้ามาให้นั้น ด้วยกายก็ได้ ด้วยของเนื่องด้วยกายก็ได้
ด้วยโยนให้ก็ได้
๕. ภิกษุรับด้วยกายก็ได้ ด้วยของเนื่องด้วยกายก็ได้ ฯ
ไม่ถูกทั้ง ๒ วิธี เพราะไม่ต้องลักษณะองค์ประเคน คือ การช่วยกันยกโต๊ะอาหารขึ้น
ประเคนผิดลักษณะองค์ที่ ๑ ฯ การจับผ้าปูโต๊ะประเคนผิดลักษณะองค์ที่ ๓ ฯ 
๓๓. หมวดสารูปในเสขิยวัตร ว่าด้วยเรื่องอะไร ข้อว่า “ไม่เอามือค้ำกายนั่งในบ้าน” คือไม่ทำอย่างไร
ตอบ หมวดสารูป ๒๖ ในเสขิยวัตร ว่าด้วยเรื่องธรรมเนียมประพฤติเวลาเข้าบ้านแบ่งเป็น ๑๓ คู่ มีคำต่อท้ายว่า “ไปในละแวกบ้าน และนั่งในละแวกบ้าน” ดังนี้ เราจักนุ่งห่มเป็นปริมณฑล ๑, เราจักปกปิดกายดี ๑, เราจักสำรวมดี ๑, เราจักมีตาทอดลง๑, เราจักไม่เวิกผ้า ๑, เราจักไม่หัวเราะเสียงดัง ๑, เราจักมีเสียงน้อย ๑, เราจักไม่โยกกาย ๑, เราจักไม่ไกวแขน ๑, เราจักไม่โคลงศีรษะ ๑, เราจักไม่ทำความค้ำ ๑, เราจักไม่คลุมศีรษะ ๑, เราจักไม่เดินกระโหย่งเท้า และนั่งกอดเข่า ๑ไม่เอามือค้ำกายนั่งในบ้าน หมายถึง นั่งเท้าแขน ข้างเดียวก็ตาม ๒ ข้างก็ตาม ฯ
๓๔. อธิกรณ์ คืออะไร มีอะไรบ้าง  เมื่อเกิดขึ้นแล้วต้องทำอย่างไร อธิกรณ์ย่อมระงับด้วยอะไร อธิกรณสมถะ มีเท่าไร มีอะไรบ้าง การแสดงอาบัติจัดเข้าในอธิกรณสมถะข้อไหน สำหรับระงับอธิกรณ์อะไร 
ตอบ อธิกรณ์ คือ เรื่องที่เกิดแล้วจะต้องจัดต้องทำ มี ๔ อย่าง ได้แก่ วิวาทาธิกรณ์ภิกษุโต้เถียงกันในเรื่องพระธรรมวินัย ๑ อนุวาทาธิกรณ์ ภิกษุโจทก์กัน ๑,อาปัตตาธิกรณ์ ภิกษุต้องอาบัติ ๑ และกิจจาธิกรณ์ กิจของสงฆ์ ๑ ฯต้องระงับด้วยอธิกรณสมถะอย่างใดอย่างหนึ่งตามสมควรแก่อธิกรณ์นั้น ฯอธิกรณ์ย่อมระงับด้วยอธิกรณสมถะ มี ๗ อย่าง แบ่งตามอธิกรณ์ที่สามารถระงับได้ดังนี้
๑. สัมมุขาวินัย ๑ ระงับพร้อมหน้า ใช้ระงับอธิกรณ์ได้ทุกอย่าง
๒. สติวินัย ๑ ระงับโดยยกสติขึ้นเป็นหลัก, อมูฬหวินัย ๑ ระงับด้วยการ
สวดประกาศ และตัสสาปาปิยสิกา ๑ ระงับโดยการลงโทษ ใช้ระงับเฉพาะอนุวาทาธิกรณ์
๓. ปฏิญญาตกรณะ ๑ ระงับตามคำสารภาพ และติณวัตถารกวินัย ๑ระงับโดยการประนีประนอม  ใช้ระงับเฉพาะอาปัตตาธิกรณ์
๔. เยภุยยสิกา ๑ ระงับโดยถือเสียงข้างมาก ใช้ระงับเฉพาะวิวาทกรณ์การแสดงอาบัติจัดเข้าในปฏิญญาตกรณะ สำหรับระงับอาปัตตาธิกรณ์ ฯ 
๓๕. ภิกษุเถียงกันเรื่องการแก้ไขปัญหาจราจรเป็นอธิกรณ์อะไรหรือไม่ เพราะเหตุใด
ตอบ ภิกษุเถียงกันเรื่องการแก้ไขปัญหาจราจรไม่เป็นอธิกรณ์ เพราะไม่เกี่ยวข้องกับพระธรรมวินัย ฯ
Share:

ฆ่าตัวตายแล้วมันพ้นทุกข์จริงหรือ?by Dhammasarokikku


images6ฟื้นพลังมาสู้ชีวิตกันต่อ หลังจากดาวน์ไปพักใหญ่ จากการบุกตะลุยทำบุญไปทางเหนือแล้วได้รับฟังผลที่ไม่น่ารัก ไม่น่าพอใจนักในเอ็นทรี่ก่อน ความจริงแล้ว ผลที่ไม่น่ารักไม่น่าพอใจนั้นเป็นเพียงเศษเสี้ยวของปลาทูเค็มที่ขนไปแจกครับ ปีที่แล้วขนขึ้นไปรวมราว ๑.๕ ตัน ไอ้ที่เขาเอาไปทิ้งหน่ะ แค่ ๑๐ กก. เท่านั้น แต่คนเราที่ไม่ฉลาดทางอารมณ์ (มักเกิดกับผู้ที่ทำอะไรก็หวังผลเลิศเลอเพอร์เฟ็ค หวังผล ๑๐๐% ไปเสียหมด) ก็มักไปจมงมงายอยู่กับผลที่ไม่เลิศ ไม่สำเร็จเล็ก ๆ น้อย ๆ คล้ายกับที่ข้าพเจ้าเป็นนี่แล
มีบทความที่ตั้งใจจักเขียนตั้งแต่ก่อนออกตะลุยทัวร์แม่ฮ่องสอน ทว่าวุ่น ๆ วาย ๆ อยู่กับการเตรียมของ เลยลืมไปเสียสนิท มีข้อความหลังไมค์เขามาหลังจาก published เอ็นทรี่ก่อนหน้านี้ ทำไมผู้ชายหล่อเท่หันไปเป็นเกย์กันหมด? ดังนี้ครับ
นิด (นามสมมุติ) ชอบเอ็นทรี่นี้มากเลยค่ะ มันเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในปัจจุบันนี้ พูดเรื่องของผู้ชาย ซึ่งผู้หญิงไม่ค่อยรู้ แต่ก็เป็นข้อคิดดี ๆ หลาย ๆ อย่าง ทั้งทางตรงและทางอ้อม นิดก็เป็นคนหนึ่งที่ยังไม่มีโอกาสที่จะสามารถพรีเซนท์ "ใจ"กับใคร เคยรู้จักชายผู้หนึ่งสนิทสนมกัน จนนิดคิดว่าคนนี้แหละฉันจะฝากชีวิตไว้กับเธอ แต่เมื่อเวลาล่วงเลยมา ชีวิตนิดก็เหมือนตายทั้งเป็น เมื่อเขาจากไป (ไม่ได้เสียชีวิตนะ) แต่เป็นเพราะเขาคงมีปัญหาอะไรสักอย่าง นิดก็คิดในแง่ดีคงเป็นปัญหาทางบ้านมั้ง ก็เลยคิดว่าคงให้เขาอยู่ตรงที่เขาสบายใจดีกว่า เขาจะได้พักผ่อน แต่เมื่อนานไปไม่เป็นอย่างที่ดิด เขาคงไม่ได้มีปัญหาทางบ้าน แต่คงเป็นปัญหาเรื่องของผู้หญิงที่เขามีมากมาย แม้กระทั่งคบกันนิดก็ไม่เคยรู้เลยว่าเขามีผู้หญิงอีกหลายคน เป็นเพราะนิดคิดดีเกินไปมั้ง "ไว้ใจ" "เชื่อใจ" แล้วก็ "เชื่อฟัง" (แต่ก็มีบ้างที่เอาแต่ใจ ก็นิสัยผู้หญิงนะ) วันนี้รู้แล้วว่าเขามีผู้หญิงมากมายจนคงไม่รู้จะเลือกใครดีมั้ง แต่นิดก็ขอโง่ต่อไปเพราะความรักตัวเดียว นิดยังรักเขามากขึ้นมากขึ้น ไม่มีน้อยลง และไม่คิดเปลี่ยนแปลง แม้ว่าเขาจะไม่เลือกเราก็ตาม นิดมีเขาไว้ในใจเสมอ คอยให้เขาเป็นกำลังใจเมื่อยามเจอปัญหา (เป็นการให้กำลังใจตัวเองโดยไม่มีเขาอยู่เลย) ณ วันนี้ ก็หลายปี แล้ว น่าจะประมาณ 5-6 ปี แล้วนะ ทำไมใจเราถึงยังยึดมั่นอยู่เลย ผู้หญิงแก่ตัว ไม่น่ามองเลย ไม่รู้เลยว่าต่อจากนี้จะต้องทำอย่างไรกับชีวิตนี้ดี ฆ่าตัวตายก็เป็นบาป อยู่ก็เหมือนตายทั้งเป็น ธรรมะก็ช่วยได้ช่วยลดภาวะการหนีจากโลกนี้ได้มาก แต่เมื่อได้ศึกษาแล้ว ยิ่งรู้ว่าชีวิตนี้มันไม่มีอะไรแน่ ไม่รู้จะทำเพื่ออะไร ในเมื่อจุดจบของชีวิตคือความตาย วันนี้เป็นวันเกิดหนูนะ แต่หนูพึงละรึกไว้เสมอเรื่องของความตายของตัวเอง ตอนนี้ก็ใช้ชีวิตไปกับชีวิตประจำวันไม่มีอะไรให้งานช่วยให้ชีวิตได้ดำเนินต่อไป ความรักมีอยู่ในโลกใบนี้ แต่นิดคงไม่มีโอกาสได้เจอ ขอบคุณค่ะ ชีวิตที่น่าเบื่อหน่ายเสียจริง
ช่วงนี้ดูหนังไปหลายเรื่อง (โดยเฉพาะ PRAY EAT LOVE) นั่งดูทุกข์ของคนทั้งหลายที่ท็อปฮิตติดชาร์ตตลอดกาล คงไม่พ้นเรื่องคู่ครอง และดูฝรั่งเขาจักเข้าใจธรรมะไม่แพ้เราเลย คำว่า "ปล่อยวาง" เขาใช้คำว่า "Let it go." ปรัชญาทั่ว ๆ ไปเขาก็ทำได้ไม่แพ้เรา เพียงแต่ส่วนธรรมะขั้นลึกที่สุด เขาก็ยังเข้าไม่ถึง ยากเหลือเกินที่คนจักเข้าใจความแตกต่างระหว่าง "สมถกรรมฐาน" กับ "วิปัสสนากรรมฐาน" ส่วนใหญ่ถ้าลงนั่งสมาธิแล้ว ก็เรียกว่า "Meditation" หรือ ทำสมาธิเหมือนกันหมด ส่วน Enlightenment หรือ การรู้แจ้งนั้น เท่าที่พิจารณาแล้ว ก็ไม่พ้นเป็นการเข้าสมาบัติขั้นใดขั้นหนึ่ง หรือบางทียังไม่ทันเข้าถึงสมาบัติ หรืออัปปนาสมาธิเลย แค่เกิดปีตินิดหน่อย ก็เข้าใจว่า รู้แจ้งแล้ว พ้นทุกข์แล้ว
images7แต่แม้เขาไม่มีโอกาสดี ๆ อย่างเรา ๆ ท่าน ๆ ซึ่งสามารถหาครูบาอาจารย์ที่เข้าใจธรรมะถ่องแท้ได้ไม่ยากนัก หากขวนขวายสักหน่อย เขาก็มีสิ่งที่เราคนไทยไม่ค่อยมี นั่นคือ ความเอาจริงเอาจัง คนไทยจำนวนมาก ศึกษาธรรมะเป็นวรรคเป็นเวร แต่ไม่ลงมือทำ ทฤษฎีนั้นล้นกระโหลกเลย คุยฟุ้งได้สามวันแปดวันไม่ซ้ำ แต่ถามว่า ลงมือทำหรือยัง? ก็มีข้ออ้างสารพัดสารเพ ไม่ว่างมั่ง ไม่มีเวลามั่ง ต้องทำการบ้านมั่ง ต้องทำงานมั่ง ต้องดูละครมั่ง ต้องดูแลสามีมั่ง ต้องเทคแคร์ภรรยามั่ง ต้องเลี้ยงลูกมั่ง ทั้งที่จริงแล้ว การปฏิบัติธรรมขั้นสุดยอด คือการผนวกธรรมะเข้าไปในชีวิตประจำวัน ดังนั้นข้ออ้างทั้งหลายจึงฟังไม่ขึ้น พวกศึกษาธรรมะไว้คุยโม้โอ้อวดนี่ น่าเสียดายโอกาสที่ได้เกิดมาบนแผ่นดินไทย อยู่ใกล้พระพุทธศาสนาเหลือเกินครับ
ก่อนจักออกนอกเรื่องไปไกล เรามาตอบจดหมายมิตรรักแฟนบล็อก "คุณโยมนิด (นามสมมุติ)" กันก่อนดีกว่าครับ จากที่สาธยายมานี่ อย่างแรกคือ เอาหัวใจไปฝากไว้ผิดที่ครับ สรรพสิ่งในโลกล้วนอนิจจัง มีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไปในที่สุดเสมอ ใจคนก็เช่นกัน จักไปเอาแน่กระไร ใจเราเองยังแปรเปลี่ยนทุกเมื่อเชื่อวัน เดี๋ยวทุกข์ เดี๋ยวสุข เดี๋ยวเฉย ๆ หมุนเวียนเปลี่ยนสลับไปไม่เว้นแม้สักวินาทีเดียว แล้วจักไปพยายามให้ใจใครเป็นอย่างที่เราหวัง
หวังในสิ่งที่หวังไม่ได้ ก็มีความผิดหวังเป็นที่สุด เท่านั้นเอง
รู้ถึงทุกข์จากความผิดหวังแล้ว ก็ไม่ควรจมอยู่กับความผิดหวังครับ ลุกขึ้นมาจากบ่อขี้ แล้วตรวจดูว่า ชีวิตนี้เราควรฝากไว้กับใครจักดีกว่า มั่นคงถาวรกว่า คำว่า "อบอุ่น" ในภาษาฝรั่งบางทีเขาใช้คำว่า "secured" ซึ่งภาษาไทยแปลตรงตัวว่า มั่นคง หรือปลอดภัย ทว่าคำว่า "ถาวร" ไม่มีในสังสารวัฏครับ สิ่งเดียวที่เอาใจเราไปฝากไว้แล้ว ไม่มีคำว่าผิดหวัง ก็คือ พระรัตนตรัยมี พระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์ (เน้นว่า พระ "อริย" สงฆ์ เพราะสงฆ์ปุถุชนเอาใจไปฝากแล้ว ก็ยังอาจผิดหวังได้) ถ้าได้ปฏิบัติธรรมไปสักระยะหนึ่ง เวลาสวดมนต์ทำวัตร (โดยเฉพาะวัดที่สวดมนต์แปล) มีบทหนึ่งมีความซาบซึ้งกินใจมากว่า
พะหุง เว สะระณัง ยันติ ปัพพะตานิ วะนานิจะ,
อารามะรุขะเจตะยานิ มะนุสสา ภะยะตัชชิตา,
มนุษย์เป็นอันมาก เมื่อเกิดมีภัยคุกคามแล้ว, ก็ถือเอาภูเขาบ้าง,
ป่าไม้บ้าง, อารามบ้าง และรุกขเจดีย์บ้าง เป็นสรณะ,
เนตัง โข สะระณัง เขมัง เนตัง สะระณะมุตตะมัง,
เนตัง สะระณะมาคัมมะ สัพพะทุกขา ปะมุจจะติ.
นั่น มิใช่สรณะอันเกษมเลย, นั่น มิใช่สรณะอันสูงสุด,
เขาอาศัยสรณะนั่นแล้ว ย่อมไม่พ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้.
โย จะ พุทธัญจะ ธัมมัญจะ สังฆัญจะ สะระณัง คะโต,
จัตตาริ อะริยะสัจจานิ สัมมัปปัญญายะ ปัสสะติ,
ส่วนผู้ใดถือเอาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะแล้ว,
เห็นอริยสัจคือ ความจริงอันประเสริฐสี่ ด้วยปัญญาอันชอบ
ทุกขัง ทุกขะสะมุปปาทัง ทุกขัสสะ จะ อะติกกะมัง,
อะริยัญจัฏฐังคิกัง มัคคัง ทุกขูปะสะมะคามินัง,
คือเห็นความทุกข์, เหตุให้เกิดทุกข์, ความก้าวล่วงทุกข์เสียได้,
และหนทางมีองค์แปดอันประเสริฐ เครื่องถึงความระงับทุกข์,
เอตัง โข สะระณัง เขมัง เอตัง สะระณะมุตตะมัง,
เอตัง สะระณะมาคัมมะ สัพพะทุกขา ปะมุจจะติ.
นั่นแหละ เป็นสรณะอันเกษม, นั่น เป็นสรณะอันสูงสุด,
เขาอาศัยสรณะนั่นแล้ว ย่อมพ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้.
เอาละ ครับ อ่านดูสะบัดสำนวนอาจดูโบราณไปสักนิด ลองเอามาต้มยำทำแกงเป็นเวอร์ชั่นบินเดี่ยวรสแซ่บแอ๊บแบ๊ว ให้เข้ากับยุคปัจจุบัน ก็ได้ความว่า
หนุ่มสาวเอย!!!เมื่อพวกเทอจักเสพย์กาม พวกเทอก็ยึดเอาผัวบ้าง เมียบ้าง สามีบ้าง ภรรยาบ้าง แฟนบ้าง คบกันแบบพี่น้องบ้าง ไปจนถึงกิ๊กบ้าง เป็นสรณะ (ที่พึ่ง)
นั่น ไม่ใช่หลักพึ่งพิงใด ๆ ในชีวิตเลย พวกเทออาศัยสรณะนั้นแล้ว อย่าว่าแต่จักพ้นจากทุกข์ (ของคนไม่มีแฟนเลย) พวกเทอกำลังก้าวลงสู่ห้วงทุกข์ที่ยิ่งกว่าการเป็นโสด (ความจริงเป็นโสดก็สุขดีอยู่แล้ว แต่ชอบลองของ ชอบหลงใหลไปกับโปรโมชั่นแรง ๆ) ยุ่อมมีแต่ความผิดหวัง พบแต่สิ่งไม่น่ารัก ไม่น่าพอใจ (หลังหมดช่วงโปรโมชั่น)
หากอยากจักมีรักอีกสักครั้งหนึ่ง ขอพวกเทอจงรักพระพุทธเจ้า ขอพวกเทอจงรักพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ขอพวกเทอจงรักพระอริยสงฆ์ผู้ซึ่งปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าจนพ้น ทุกข์ถาวร
เพราะท่านทั้งหลายเหล่านี้ ย่อมไม่ทำให้พวกเทออกหักซ้ำซาก พวกเทออาศัยสรณะนั่นแล้ว ย่อมพ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้.
ตายแระ... เอาบทสวดมนต์มายำเสียจนเกือบจำความเดิมไม่ได้ สิ่งที่อยากบอกก็ตามนั้นครับ ไม่มีสรณะใดจักเกษมเท่าพระไตรรัตน ไม่มีสรณะใดจักปลอดความผิดหวังเท่าพระรัตนตรัย แต่ในเมื่อเอาหัวใจไปฝากไว้ผิดที่ซะแล้ว จักทำอย่างไรดี? ทุกข์เพิ่มขึ้นทุกวันจนรู้สึกอยากฆ่าตัวตาย ซึ่งก็พอดีช่วงนั้นมีบทความเรื่องฆ่าตัวตายออกมาเยอะทีเดียว เช่น ถ้ามีคนมาบอกกับเราว่า "อยากตาย" หรือ เธอผู้เป็นที่รัก
กว่าจักได้เขียนเรื่องนี้ก็ไม่ทันเหตุการณ์ซะแระ แม้ข้าพเจ้าเองก็เคยมีความคิดอยากฆ่าตัวตายอยู่เหมือนกัน แต่หลังจากได้เข้ามาค้นพบพระพุทธศาสนา ก็รู้ได้เลยว่า ความคิดเหล่านี้สิ้นคิดสิ้นดี นอกจากไม่สร้างสรรค์ ไม่พ้นทุกข์ที่กำลังเจออยู่แล้ว ยังพาตัวเองให้เดือดร้อนอย่างแสนสาหัสด้วย
008เผอิญข้าพเจ้าคงไม่ได้ฆ่าตัวตายมาหลายชาติแล้วกระมัง ความคิดฆ่าตัวตายแม้มีอยู่ แต่ก็ไม่เคยได้ลงมือทำจริง ๆ จัง ๆ บอกได้เลยครับ คนที่คิดฆ่าตัวตายแล้วทำสำเร็จ เขาเคยทำมาแล้วในอดีตชาติ อย่างคนญี่ปุ่น ทำไมฆ่าตัวตายกันเยอะ ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะเป็นประเทศที่มีความเครียดสูงติดอันดับโลก อีกส่วนหนึ่งที่คนไม่ค่อยรู้ เป็นเพราะวัฒนธรรมในอดีตของเขา ก็นิยมฆ่าตัวตาย อย่างการทำฮาราคีรีคว้านท้องตัวเองตาย หรือฝูงบินกามิกาเซ่ เป็นต้น โดยมีความเชื่อผิด ๆ ว่า หากปลิดชีพตนเอง หรือปลิดชีพผู้อื่นด้วยจิตว่าง ไม่เป็นบาป ฆ่าแล้วจักไปสวรรค์ (เพราะทำคุณให้ประเทศชาติ) อย่างนี้เขาเรียกว่า เข้าฌานทำบาป เขาคงได้ไปเกิดในภพพิเศษซึ่งหาคำอธิบายได้ยากกระมัง
เหล่าคนทั้งหลายที่ได้เคยฆ่าตัวตายมา ในอดีตชาติ ด้วยเหตุกระไรก็แล้วแต่ จักมีแนวโน้มคิดฆ่าตัวตาย และลงมือฆ่าตัวตายมากกว่าคนที่ไม่เคยฆ่าตัวตายมาก่อน คือนิสสัยที่สั่งสมมา ประกอบไปด้วยความคิดที่จักหนีทุกข์ หนีปัญหาตลอดเวลา พอชาติปัจจุบัน เจอปัญหานิด ๆ หน่อย ๆ ก็ชวนย้อนกลับไปหาความเคยชินเก่า ๆ
เคยได้ยินเรื่องปลาทองปากเหม็นไหม? เรื่องมีอยู่ว่า ชาวประมงจับปลาทองมีสีสันสวยสดงดงามได้ตัวหนึ่ง เลยเอามาถวายพระราชาเผื่อจักได้เงินใช้บ้าง พอเจ้าปลาทองอ้าปากกลิ่นปากก็เหม็นไปทั้งพระราชวัง สมัยนั้นยังไม่มีเดนทิสเต้ระงับกลิ่นปาก พระราชาเลยเอาปลาทองน้อยไปทูลถามพระพุทธเจ้าว่า ปลาตัวนี้มีความเป็นมาเยี่ยงไร พระพุทธเจ้าก็ทรงสาธยายกรรมในอดีตของปลาทองปากเหม็นว่า เคยเกิดเป็นมนุษย์แล้วได้บวช ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบอยู่พักหนึ่ง แล้วก็เปลี่ยนไปเป็นมิจฉาทิฏฐิ เที่ยวด่าว่า ภิกษุอื่น มีภิกษุพี่ชายเป็นต้น ให้ฆราวาสฟัง ครั้นละอัตภาพจากชาตินั้นแล้ว ก็ไปเสวยทุกข์แสนสาหัสในอเวจีมหานรกเสียกัปหนึ่ง พ้นขึ้นมาแล้วเศษกรรมพามาเกิดเป็นปลาทอง ด้วยอานิสงส์ที่เคยรักษาศีลได้ดี จึงเป็นปลาทองที่มีสีสันงดงาม และด้วยอานิสงส์ที่เคยไปปรามาสภิกษุพี่ชายไว้ จึงกลายเป็นปลาทองปากเหม็น
ครั้นพระพุทธองค์ทรงแสดงบุพกรรมเรียบร้อย ปลาทองตัวน้อยก็ทูลถามถึงภิกษุพี่ชายว่า ไปอยู่ที่ไหนเสียแล้ว สมเด็จพระประทีปแก้วตรัสตอบว่า ไปนิพพานหมดแล้ว คุณปลาทองรู้สึกโซแซดในกรรมชั่วของตัวเอง เลยเอาหัวโหม่งขอบภาชนะตาย ลงไปเกิดในอเวจีอีกรอบ
อ่านแล้วให้ชวนสมเพช ปุโถ๊ว์เอ๋ย... กว่าจักขึ้นมาจากอเวจีมหานรกต้องใช้เวลายาวนานชั่วกัปป์ชั่วกัลป์ ขึ้นมาเป็นปลาได้แป๊บเดียว คุยไม่กี่ประโยค น้อยใจเอาหัวโขกภาชนะตายแล้วก็ลงอเวจีใหม่ ทำไมไม่คิดอะไรดี ๆ เช่น ต่อไปอั๊วะจักเป็นปลาทองที่ดี รักษาศีล ๕ จักได้ไปเกิดเป็นมนุษย์ ได้บวช ได้ดำเนินชีวิตใหม่ ไม่ให้เฮงซวยแบบเดิมอีก
pharmalai_04_1อนิจจา ในวัฏสงสารนี้ ไม่มีสิ่งใดน่ากลัวไปเกินกรรมของเราเองดอก ที่ปลาทองปากเหม็นต้องเวียนกลับไปเกิดในนรกอีก ก็ด้วยวิบาก หรือผลกรรมที่ทำชั่วนั่นเอง ทำนองเดียวกัน บุคคลที่ฆ่าตัวตายแล้วชาติหนึ่ง ก็จักคิดแบบไม่ฉลาด แล้ววนเวียนฆ่าตัวเองเหมือนปลาทองปากเหม็นนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า มิรู้เลยว่า วันใดจักพ้นจากวงจรอุบาทว์นี้
นี่เป็นเหตุผลแรกที่เราไม่ควรฆ่าตัวตาย
เหตุผลที่สอง การฆ่าตัวตายนับเป็นการทำปาณาติบาต เบียดเบียนชีวิตสัตว์ คือเบียดเบียนชีวิตตัวเองอย่างหนึ่ง อย่างที่เคยเขียนไปไม่รู้กี่ครั้งว่า ภพที่เราจักไปเกิดต่อไปนั้น มีจิตสุดท้ายสำคัญที่สุด ก็จิตสุดท้ายกำลังเศร้าหมองเพราะทำปาณาติบาต ประกอบกับเศร้าหมองเรื่องอื่น ๆ (ที่เป็นเหตุให้ฆ่าตัวตาย) เป็นทุนอยู่แล้ว จิตมันเลยเศร้าหมองคูณสองซุปเปอร์แก๊งค์ แล้วยกกำลังแปดอีกแปดครั้ง มีทุคติเป็นที่ไปแน่นอน
เหตุผลที่สาม คนทั่วไปที่คิดฆ่าตัวตาย มักเจอทุกข์ชนิดที่เรียกว่า เกินรับได้ ชาตินี้ฉันรับทุกข์ไม่ไหวแล้ว ขอไปเกิดใหม่เพื่อจักได้เจอชีวิตที่ดีกว่าเถอะ ป๊าดโธ๊... จากเหตุผลข้อที่แล้วนั่นแหละ ท่านมั่นใจได้อย่างไรว่า ชาติต่อไป จักดีกว่าเดิม ทุกข์น้อยกว่าเดิม ทรมานกว่าเดิมสิไม่ว่า อย่างหนังเรื่อง "What the dream may come" นี่ เขาก็ทำหนังได้ใกล้เคียงความเป็นจริง ในเรื่องนางเอกฆ่าตัวตาย แล้วนางเอกก็สร้างภพพิเศษขึ้นแล้วขังตัวเองอยู่ในภพนั้น ใครก็ช่วยบ่ได้ กว่าจักพ้นจากคตินี้ก็เชื่อว่า นานนักหนา ทั้งนี้ทั้งนั้นหลวงพ่อจรัญ วัดอัมพวัน สิงห์บุรี เคยสอนไว้ครับ หากต้องการช่วยเหลือผู้ที่ฆ่าตัวตาย ให้ไปนั่งสมาธิที่ที่คนนั้นฆ่าตัวตาย แล้วเจาะจงอุทิศส่วนกุศลจากการนั่งสมาธินั้นให้ ก็ทำให้คนนั้นไปเกิดได้เร็วขึ้น
เหตุผลที่สี่ เหตุการณ์ที่ไม่น่ารักไม่น่าพอใจจนเกินทนได้ที่เราเจอนั้น อาจเป็นวิบาก (ผลของกรรม) ที่เราต้องรับไม่ชาติใดก็ชาติหนึ่ง แม้เราหนีไปด้วยการฆ่าตัวตาย สุดท้ายหลังจากเราใช้กรรมจากการฆ่าตัวตายเสร็จแล้ว เราก็ต้องมารับกรรมตัวเดิมที่เราหนีไปอยู่ดี ฉะนั้นทนรับมันเสียชาตินี้ แล้วหนีเข้านิพพานไปเลยดีกว่าครับ เรื่องนี้มีตัวอย่างตั้งมากมาย กรณีพระโมคคัลลานะถูกทุบก่อนนิพพาน เพราะในอดีตชาติเคยทุบบุพการีจนถึงชีวิตมา ท่านมีฤทธิ์มากเหลือเกิน ใช้ฤทธิ์เหาะหนีไปถึง ๒ คราว แต่ครั้นทราบว่า เป็นบุพกรรมในอดีตชาติ ท่านก็ยอมให้โจรทุบ เป็นต้น เรื่องหนีเข้านิพพาน ก็มีตัวอย่างขององคุลีมาล ฆ่าคนเสียตั้งเกินพัน ครั้นบวชแล้ว บรรลุอรหันต์แล้ว ก็รับวิบากอีกไม่มาก (แค่ถูกคนขว้างหินใส่ ไม่ถึงกับต้องมาเกิดให้เขาฆ่าเสียพันรอบ) ก็หนีเข้านิพพานไป วิธีฉลาด ๆ คือหาทางทำบุญละลายบาป (บาปลบล้างไม่ได้ครับ แต่สามารถทำให้เจือจางได้ เวลารับวิบากจักมีตัวช่วยให้ทุกข์เบาบางลง ด้วยการสร้างบุญสร้างกุศล) หรือหาทางไม่ต้องมาเกิดอีกครับ (การหาทางไม่ต้องมาเกิดเป็นบุญอันยิ่ง) ไม่ใช่ไปหาทางหนีกรรม หนีกระไรก็หนีได้ครับ แต่กรรมนี่ หนีไม่พ้น พระพุทธเจ้าเองก็ยังหนีไม่พ้น ก่อนปรินิพพานทรงกระหายน้ำมาก สั่งให้พระอานนท์ไปตักน้ำมาตั้ง ๓ ครั้งกว่าจักได้เสวย ก็เพราะเคยไปทำวัวอดน้ำไว้ในอดีตชาติ
เหตุผลที่ห้า อีตอนผิดหวัง อีตอนสอบไม่ติด อีตอนถูกแม่ด่า อีตอนน้อยใจแฟน อีตอนอกหักรักคุด ตอนวางแผนจักปลิดชีวิตตัวเองหน่ะ มันห้าวครับ คิดว่า ทนทรมานแค่แป๊บเดียว เดี๋ยวก็สบายแล้ว ความเป็นจริงในวินาทีที่จิตจักออกจากร่างนั้น มักทรมานจนแทบสิ้นสมประดีครับ ในวินาทีสุดท้ายนั้นมักคิดว่า เฮ้ย... ไม่เอาแล้ว ทำไมมันทรมานอย่างนี้วะ พวกน้ำยาล้างส้วม หรือยาฆ่าหญ้าที่กินเข้าไป มันกัดกระเพาะจนไม่มีชิ้นดี หรือตอนที่เชือกที่แขวนคอกดหลอดลมจนหน้าเขียวหน้าเหลือง ถึงตอนนั้นจักดิ้นสุดใจครับ ความห้าวเมื่อกี้หายหมด ดิ้นจนขี้เยี่ยวไหลนองพื้น เชือกก็ไม่คลายตัว กระทั่งการตายแบบชั่วพริบตา เช่น ให้รถไฟเหยียบ หรือกระโดดตึกตาย วินาทีสุดท้ายนั้นก็เจ็บปวดรวดร้าวไปทั่วสรรพางค์กายอย่างแสนสาหัสเพื่อนโยมแม่คนหนึ่งชื่อ ดร.ผาณิต กันตามระ มักเล่าถึงประสบการณ์การฆ่าตัวตายของเธออยู่บ่อย ๆ เธอบอกวินาทีสุดท้ายนั้นเธอนึกถึงพระพุทธเจ้า เลยรอดมา จักมีสักกี่คนครับที่ระลึกถึงพระพุทธเจ้าได้ในวินาทีที่สุดทรมานนั้น
pharmalai_01_1อีกประการหนึ่งถึงแม้จักรอดชีวิตมาไำด้ ส่วนใหญ่พวกยาแรงที่ใส่ปากเข้าไป มันไปทำลายอวัยวะภายในเสียจนไม่สามารถใช้งานได้ดีดังเดิม ดังเช่นเราจักเห็นคนที่ถูกผ่าตัดจนไม่มีกระเพาะ หรือ ดร.ผาณิต กันตามระ นี้ หลังจากรอดชีวิตมา ก็เวียนเข้าเวียนออกโรงพยาบาล ด้วยโรคตับไตไส้ปอดเสื่อมสภาพ คิดดูกันให้ดี ๆ ครับ
เหตุผลที่หก มีหลายคนครับที่มักคิดว่า ชีวิตเป็นของเรา เราจักทำกระไรกับชีวิตก็ได้ ข้าพเจ้าขอให้ท่านคิดเสียใหม่ ชีวิตยังไม่ได้เป็นของเราอย่างสมบูรณ์ครับ ตราบใดที่คุณพ่อคุณแม่ผู้มีพระคุณทั้งหลายยังมีชีวิตอยู่ ท่านทั้งหลายนี้คือเจ้าของชีวิตของเราตัวจริง อย่าทำให้ท่านเสียใจ จักเป็นกรรมหนัก ฉะนั้นหากอย่างไรก็จักทำลายชีวิตตัวเองให้ได้ รอคุณพ่อคุณแม่ตายจากไปเสียก่อนครับ แล้วค่อยจัดการ
อีกประเภทคือพวกฆ่าตัวตายประชดแฟน ประชดชีวิต เรียกร้องความสนใจ คิดใหม่ได้ครับ จักไปทำกระไรเพื่อคนที่เขาไม่ได้รักเรามากมาย ยังมีคนที่รักเราแล้วเรายังไม่ได้ทำกระไรเพื่อพวกเขาตั้งเยอะแยะ คุณพ่อคุณแม่ผู้มีพระคุณนั่นไง ทำกิจของเราให้สมบูรณ์ก่อน แล้วอยากทำกระไรก็ค่อยไปทำ
เหตุผลที่เจ็ด เวลาที่เราเจอทุกข์หนัก ๆ ทั้ง ๆ ที่ก็ประพฤติตนเป็นคนดี ให้ทานสม่ำเสมอ อยู่ในศีลในธรรม แถมเข้าวัด ฟังธรรม ปฏิบัติธรรม มีทำสมาธิ เป็นต้น อย่างต่อเนื่องด้วย อันนี้ อ.เล็ก ท่านเคยปรารภไว้ เวลาที่เรานึกว่าเราแย่ที่สุด บางทีอาจกำลังเหลืออีกนิดเดียว เราจักข้ามเขตจากโลกียะ (โลก ๆ) ไปสู่โลกุตตระ (เหนือโลก) เพราะยามใดที่เราปฏิบัติจนเฉียดใกล้ความเป็นพระอริยะ พญามารท่านไม่อยู่เฉยแน่ จักเข้ามาทดสอบอย่างหนักหน่วง เพราะแค่เป็นอริยบุคคลเบื้องต้นอย่างพระโสดาปัตติมรรค ก็ปิดประตูอบาย ไม่มีโอกาสตกนรกอีก และส่วนใหญ่ก็ไปนิพพานกันหมดในชาตินั้น ๆ ด้วย ตามความเห็นของข้าพเจ้า พระโสดาบันจึงเป็นบันไดขั้นแรกที่ยากที่สุด ครั้นเห็นกระแสพระนิพพานแล้ว ก็ไม่ยากแล้ว ดังนั้นในยามที่สุด ๆ ของชีวิตก็ให้คิดว่า บางทีนี่อาจจักอีกนิดเดียว เราก็พ้นแล้ว อีกนิดเดียวเราก็ผ่านแล้ว สู้ต่อไปครับ
เหตุผลที่แปด บางคน (เช่น คุณโยมนิด <นามสมมุติ>) เห็นว่า ชีวิตน่าเบื่อหน่าย มีชีวิตไปวัน ๆ รอความตาย ข้าพเจ้าเองก็เคยอยู่ในอารมณ์แบบนั้น นานนับปี ความจริงแล้ว โลกสดใสกว่าที่คิดครับ ก็แค่เราลุกขึ้นมาทำอะไรดี ๆ ในชีวิต ทำสิ่งที่ไม่เคยทำ เช่น งานอาสาช่วยเหลือสังคมต่าง ๆ การทดแทนคุณของชาติ (ที่เราทำได้) แทนคุณของบรรพบุรุษที่สละชีวิตรักษาผืนแผ่นดินนี้ไว้ให้เราได้มาเกิด การทำสาธารณประโยชน์ ฯลฯ คิดทุกวันครับว่า เราทำอะไรเพื่อช่วยเหลือผู้อื่นได้บ้าง? ทำอะไรให้ผู้อื่นมีความสุขได้บ้าง? ทำทุกอย่างที่ทำแล้วเราไม่เดือดร้อน เริ่มจากคนในบ้านก่อนก็ได้ แล้วค่อยขยายไปหาสังคมที่ใหญ่ขึ้น แค่นี้ชีวิตก็เบิกบานทะโล่ปะสะโมสุโข (ช่วงแรกอาจฝืน ๆ หน่อย ทำได้จนเป็นกิจวัตรแล้ว จิตเบิกบานจริง ๆ ครับ) ชีิวิตไม่ได้ไร้ค่าอย่างที่ท่านคิดดอก ท่านทำให้มันไร้ค่าเอง
004เหตุผลที่เก้า มีเหมือนกันครับในสมัยพุทธกาล ภิกษุที่ไปนิพพานด้วยการฆ่าตัวตาย แต่มีเพียงจำนวนน้อย และประการสำคัญอย่างที่บอกไป จิตสุดท้ายสำคัญที่สุดว่า ภพภูมิต่อไปเราจักไปไหน เหล่าพระอรหันต์ขีนาสพที่เข้านิพพานด้วยการฆ่าตัวตาย มีจิตสุดท้ายที่เห็นทุกข์เห็นโทษของการมีขันธ์ ๕ อย่างแท้จริง มิใช่เจอปัญหาชีวิตมากมายเหลือเกิน ไม่ไหวแล้วชีวิตนี้ชาตินี้ ขอหนีไปตายเอาดาบหน้าดีกว่า เผื่อจักเกิดมาชาติหน้าดีกว่าเดิม <---แสดงให้เห็นว่า ยังไม่ได้เห็นโทษของการเกิดอย่างแท้จริง อย่างนี้เรียกว่า "หนีทุกข์" หนีเท่าไหร่ก็ไม่พ้นทุกข์ครับ มีแต่ทุกข์หนักยิ่งกว่าเดิม เพราะชาติหน้าที่ว่า มันคือ "นรก"
มีเหตุผลอีกร้อยแปดพันประการครับ ที่เราไม่ควรคิดสั้นฆ่าตัวตาย นี่เพียงยกตัวอย่างมาเล็กน้อยเท่าที่นึกออก
หากวันนั้นที่ข้าพเจ้าพบทุกข์อย่างแสนสาหัสแล้วเลือกปลงชีวิตตัวเองเสีย ข้าพเ้จ้าคงกำลังนั่งเสียดายอย่างทรมานอยู่ที่ไหนสักแห่งในปรโลกว่า "อีกนิดเดียวเท่านั้น ข้าพเจ้าก็จักได้มีความสุขอย่างล้นเหลือ ในร่มผ้ากาสาวพัสตร์ ไม่น่าเลยกรู"
ฆ่าตัวตายอย่างไรก็คงไม่พ้นทุกข์ ทนสู้ทุกข์ต่อไปเถอะครับ ฟ้าหลังฝนมักงดงามเสมอ
Share:

เจ้าอาวาสวัดพุทธบูชา

พระราชภาวนาพินิจ

(สนธิ์ อนาลโย)

คณะผู้จัดทำรายการ

thumb_หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินธโร 3~0พระธรรมมงคลญาณ

ประธานสถาบันพลังจิตตานุภาพ

02พระราชภาวนาพินิจ

เจ้าอาวาสวัดพุทธบูชา

Scan0006พระสุวรรณสิริวัณโณ

ผู้ดูแลเว็บไซด์และผู้ดำเนินรายการภาษาธรรมภาษาใจ

Rotation of DSCF6306

พระครูสุนทรวินัยวัฒน์

ผู้อำนวยการสถานีวิทยุวัดพุทธบูชา fm100.25mhz

penrut1คุณเพ็ญรัตน์พัวพงษ์ไพโรจน์ ผู้ดำเนินรายการหรรษาศาลาธรรม

DSC00062

ร.ศ.มานพ ตันตระบัณฑิต ผู้ดำเนินรายการกุศลสำหรับประชาชน

DSCF8162

ลุงพุทธิธรรม

ประธานแบ่งปัน สมุนไพรเพื่อสังคม

นักจัดรายการ5

คุณจิตตรา เพชรวงศ์

ประชาสัมพันธ์

FM100.25Mhz